Fitbit รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2018 รายได้รวม 247.9 ล้านดอลลาร์ ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 80.9 ล้านดอลลาร์

Fitbit บอกว่าขายอุปกรณ์ไปได้ 2.2 ล้านชิ้นในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีสินค้ากลุ่มสมาร์ทวอทช์เพิ่มเข้ามา (Ionic และ Versa) โดยรายได้จากสมาร์ทวอทช์คิดเป็น 30% ของรายได้รวม

Spotify รายงานผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ 1 ปี 2018 ซึ่งเป็นการรายงานตัวเลขประจำไตรมาสครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น มีจำนวนผู้ใช้งาน MAUs 170 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน โดยเป็นผู้ใช้แบบเสียเงิน 75 ล้านคน

รายได้รวมอยู่ที่ 1,139 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 26% สุทธิแล้วขาดทุน 169 ล้านยูโร ซึ่งเป็นการขาดทุนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

Tesla รายงานผลประกอบการของไตรมาสแรก ประจำปี 2018 มีรายได้รวม 3,408.8 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3.6% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 709.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการขาดทุนมากที่สุดในไตรมาสเดียว

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น Tesla อธิบายว่าหากบริษัทสามารถดำเนินงานได้ตามแผน Tesla จะมีกำไรสุทธิเป็นบวกได้ในไตรมาสที่ 3-4 ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัด คือความสามารถในการผลิตและส่งมอบรถยนต์ Model 3

กำลังการผลิต Model 3 นั้น Tesla บอกว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญช่วงครึ่งหลังของไตรมาสที่ 1 ต่อเนื่องจนถึงต้นไตรมาสที่ 2 โดยก่อนจะมีการหยุดการผลิตเพื่อขยายช่วงกลางเดือนเมษายน Model 3 สามารถผลิตได้ถึง 2,270 ในสัปดาห์สุดท้าย

Snap บริษัทแม่ของแอพ Snapchat รายงานผลประกอบการของไตรมาส 1/2018 รายได้เพิ่มขึ้น 54% จากปีก่อนเป็น 230.67 ล้านดอลลาร์ สุทธิแล้วขาดทุน 385.79 ล้านดอลลาร์

การเติบโตของผู้ใช้งานกลายเป็นปัญหาของ Snapchat โดยมีผู้ใช้งานประจำทุกวัน (DAUs) 191 ล้านคน โตเพียง 2% จากไตรมาสก่อนหน้า 4/2017 แต่ก็โต 15% หากเทียบกับปีก่อน ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานก็ลดลง 21% จากไตรมาส 4/2018

ซีเอฟโอ Drew Vollero กล่าวว่า Snap มีแผนจะเร่งการเติบโตในไตรมาส 2 นี้ เพื่อชดเชยการเติบโตที่ไม่สูงของไตรมาส 1

ที่มา: Business Insider

แอปเปิลรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ตามปีการเงินบริษัท 2018 (มกราคม-มีนาคม) มีรายได้รวม 61,173 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 13,822 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% ส่วนยอดขายในตลาดต่างประเทศ คิดเป็น 65% ของยอดขายรวม

ซัมซุงรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2018 หลังจากออกตัวเลขเบื้องต้นก่อนหน้านี้ มียอดขายรวม 60.56 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน, กำไรจากการดำเนินงาน 15.64 ล้านล้านวอน เป็นสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง และมีกำไรสุทธิ 11.69 ล้านล้านวอน

ซัมซุงบอกว่าธุรกิจที่สร้างกำไรหลักคือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะชิ้นส่วนหน่วยความจำ ส่วนกลุ่ม LSI ก็เติบโตสูงจากความต้องการชิปสำหรับสมาร์ทโฟนและเหมืองขุดเงินคริปโต ขณะที่ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนหน้าจอนั้นกำไรลดลง เนื่องจากคำสั่งซื้อจอ OLED ที่ลดลง

ในรายงานนี้ ซัมซุงไม่ได้พูดถึงยอดขาย Galaxy S9 มากนัก แต่บอกเพียงมีส่วนในการทำยอดขาย-กำไรพอสมควร รวมทั้งยังได้จากยอดขาย Galaxy S8 ด้วย

ข้อมูลน่าสนใจจากผลประกอบการไมโครซอฟท์ไตรมาสล่าสุด คือธุรกิจฝั่งเกม (นับรวม Xbox + Windows) ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทำรายได้รวม 2.25 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส เพิ่มขึ้น 18% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ไมโครซอฟท์ไม่เผยรายได้เฉพาะส่วนของ Xbox ออกมาเป็นตัวเลข บอกแค่ว่ารายได้ส่วนนี้โต 24% โดยมีปัจจัยหลักมาจากยอดขายเกมของ third party ซึ่งก็คือเกม Fortnite ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง

ไมโครซอฟท์ไม่เปิดเผยยอดขายเครื่อง Xbox One มานานแล้ว (และยังไม่บอกเช่นเดิม) ส่วนยอดผู้ใช้งาน Xbox Live อยู่ที่ 59 ล้านคน ไม่โตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้านี้

นินเทนโดแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2018 ครบรอบ 1 ปีหลังการวางขาย Nintendo Switch ยอดขายล่าสุดอยู่ที่ 17.79 ล้านเครื่องแล้ว ส่วนซอฟต์แวร์มียอดขายรวม 68.97 ล้านชุด

นินเทนโดระบุว่าขวบปีแรกของ Switch ถือว่าเริ่มต้นได้สวย ส่วนปีที่สองจะเน้นทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และการกระตุ้นให้ลูกค้าเก่าเล่นเกมอย่างสม่ำเสมอ ยุทธศาสตร์ที่ใช้จะยังเป็นการออกเกมเด่นๆ อย่างต่อเนื่องดังที่ทำมาตั้งแต่เปิดตัว เกมเด่นที่จะออกขายในปีนี้คือ Super Smash Bros. ภาคใหม่, Mario Tennis Ace ที่เน้นการใช้ฟีเจอร์ของ Joy-Con, และภาคเสริมของ Splatoon 2

อินเทลรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2018 มีรายได้ 14,796 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 2,964 ล้านดอลลาร์

ซีอีโอ Brian Krzanich กล่าวว่าเป็นการเริ่มต้นปี 2018 ที่แข็งแกร่ง ธุรกิจพีซียังคงดำเนินงานได้ดี ส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลมีการเติบโตถึง 25% คิดเป็นรายได้เกือบครึ่งหนึ่งของรายได้รวม ทำให้เขามั่นใจในกลยุทธ์อินเทล ที่ดำเนินงานเกี่ยวเนื่องต่อความต้องการของข้อมูลที่ยังเติบโตไม่หยุด

ไมโครซอฟท์รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินบริษัท 2018 (มกราคม-มีนาคม) รายได้รวม 26,819 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 7,424 ล้านดอลลาร์

ซีอีโอ Satya Nadella กล่าวว่าผลการดำเนินงานที่ออกมาสะท้อนความเชื่อมั่นของลูกค้าและองค์กรต่อ Microsoft Cloud ซึ่งไมโครซอฟท์ยังคงมุ่งมั่นกับนวัตกรรมสำคัญเพื่อการเติบโต ทั้งในหมวด โครงสร้างพื้นฐาน, AI, ผลิตภัณฑ์ Productivity และแอพพลิเคชั่นธุรกิจ เพื่อส่งมอบคุณค่าที่แตกต่างกับลูกค้า

Amazon รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2018 มียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 51,042 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 1,629 ล้านดอลลาร์

ครั้งนี้ ซีอีโอ Jeff Bezos เลือกกล่าวถึง AWS โดยบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการพัฒนาล้ำหน้ามาโดยตลอด 7 ปี และทีมงานก็ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในทุกวัน ทำให้ AWS ยังมีการเติบโตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันทุกไตรมาส ซึ่งต้องขอบคุณลูกค้า AWS ทุกคนที่ให้การสนับสนุน

AWS มีการเติบโตถึง 49% ในไตรมาสที่ผ่านมา เฉพาะธุรกิจนี้ทำเงินถึง 5,442 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรเฉพาะส่วนถึง 1,400 ล้านดอลลาร์

ราคาหุ้น Amazon พุ่งขึ้นสูงหลังรายงานผลประกอบการ ทำให้ราคาหุ้นทำสถิติใหม่สูงสุดอีกครั้ง

PayPal รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2018 โดยมีรายได้ 3.69 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นจากเดิม 24% ส่วนกำไร (GAAP net income) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 511 ล้านดอลลาร์

ในไตรมาสนี้ PayPal มีจำนวนผู้ใช้งานแบบแอคทีฟเพิ่มขึ้น 8.1 ล้านบัญชี และมีธุรกรรมทางการเงินกว่า 2.2 พันล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่า 1.32 แสนล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 32% ซึ่งเป็นยอดการใช้จ่ายผ่านมือถือ 4.9 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 52% ส่วนการจ่ายเงินแบบ Person-to-Person หรือ P2P มีปริมาณเพิ่มขึ้น 50% เป็น 3 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็น 23% ของปริมาณการใช้จ่ายทั้งหมดในไตรมาสแรก ส่วน Venmo มีปริมาณการประมวลผลธุรกรรมถึง 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 80% จากปีที่แล้ว

AMD รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1/2018 รายได้รวม 1.65 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้นถึง 40% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แถมหักค่าใช้จ่ายออกมาแล้วบริษัทยังมีกำไรสุทธิ 81 ล้านดอลลาร์ซะด้วย (ปีก่อนขาดทุน 33 ล้านดอลลาร์)

ปัจจัยผลักดันสำคัญคือธุรกิจซีพียู-จีพียูที่ทำรายได้รวม 1.12 พันล้านดอลลาร์ เติบโตถึง 95% จากปีก่อน แถมธุรกิจส่วนนี้ยังเติบโตแบบเลขสองหลัก (double digit growth) ติดต่อกันมาห้าไตรมาสแล้ว ในไตรมาสที่ผ่านมา AMD ยังไปได้ด้วยกับทั้ง Ryzen, Radeon และ EPYC แถมยังมีส่วนต่างกำไรที่ดี

Facebook รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2018 มีรายได้รวม 11,966 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 49% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 4,988 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 63%

ซีอีโอ Mark Zuckerberg กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ชุมชน Facebook และตัวธุรกิจยังคงเริ่มต้นปี 2018 ได้อย่างแข็งแกร่ง ตอนนี้ Facebook ได้เพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าบริการของ Facebook นั้นดีสำหรับกาารใช้งาน ตามเป้าหมายการเชื่อมต่อผู้คนทั้งโลกเข้าด้วยกัน

Facebook มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAUs) ที่ 2,196 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน และจำนวนผู้ใช้งานประจำทุกวัน (DAUs) มี 1,449 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13%

Twitter รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2018 แล้ววันนี้ ถือเป็นอีกไตรมาสที่สามารถทำกำไรได้เป็นไตรมาสที่สองนับจากไตรมาสที่ 4 ปี 2017

Alphabet บริษัทแม่ของกูเกิล รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2018 รายได้รวม 31,146 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 9,401 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 5,426 ล้านดอลลาร์ มีปัจจัยสำคัญคือกูเกิลได้เปลี่ยนวิธีลงบัญชีตามมาตรฐานใหม่ ซึ่งกำหนดให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุน จากบริษัทภายนอกที่กูเกิลไปร่วมลงทุน (OI&E) ทำให้รับรู้กำไรเพิ่มมา 3,542 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ไม่ต้องรับรู้กำไร/ขาดทุน ส่วนนี้

ดีแทครายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2561 รายได้รวม 19,060 ล้านบาท ลดลง 3.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 474% โดยสาเหตุที่รายได้ลดลงมาจากรายได้การขายเครื่องโทรศัพท์ลดลง และอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายใหม่ ที่ลดลงเป็น 0.19 บาท/นาที (เดิม 0.27) ส่วนที่กำไรเพิ่มขึ้น มาจากการให้ส่วนลดค่าเครื่องที่ลดลง และการลดค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร

จำนวนผู้ใช้งานดีแทค สิ้นไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ 21.812 ล้านเลขหมาย ลดลง 0.841 ล้านเลขหมาย โดยส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าเติมเงิน ขณะที่รายเดือนมีลูกค้าเพิ่มขึ้น 0.093 ล้านเลขหมาย แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นตลอดคือรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ไม่รวม IC) โดยไตรมาสนี้อยู่ที่ 240 บาทต่อเลขหมายต่อเดือน

ไอบีเอ็มรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ของปี 2018 รายได้รวม 19,072 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ทำให้เป็นอีกไตรมาสที่ไอบีเอ็มมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้านี้ ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,679 ล้านดอลลาร์

Ginni Rometty ซีอีโอไอบีเอ็มกล่าวว่าบริษัทยังรักษาระดับการเติบโตได้ในทุกส่วนธุรกิจ ซึ่งมาจากการที่ลูกค้าสนใจลงทุนในเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น และสะท้อนกลับมาทำให้บริษัทยังคงเป็นผู้นำในด้าน คลาวด์, AI และ Security ของลูกค้าองค์กร

Netflix รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2018 มีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 7.41 ล้านคน รวมเป็น 125 ล้านคน แบ่งเป็นในอเมริกา 56.71 ล้านคน และต่างประเทศ 68.29 ล้านคน โดยการเติบโตในอเมริกายังสูง มีสมาชิกเพิ่ม 1.96 ล้านคน

รายได้รวมอยู่ที่ 3,700.9 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 43% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 290.1 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ Netflix บอกว่าตลาดต่างประเทศมีรายได้คิดเป็น 50% ของรายได้รวม ส่วนจำนวนสมาชิกมี 55% ของสมาชิกทั้งหมด สะท้อนการขยายสู่ตลาดนอกอเมริกาที่ยังเติบโตสูง

ซัมซุงรายงานผลประกอบการเบื้องต้นประจำไตรมาสแรกของปี 2018 คาดยอดขายรวม 60 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นสูงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 50.55 ล้านล้านวอน และมีกำไรจากการดำเนินงาน 15.6 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 9.9 ล้านล้านวอน

ตัวเลขนี้เป็นการรายงานเบื้องต้นจึงยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ายอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น มีปัจจัยหลักจากธุรกิจใด ซึ่งช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซัมซุงได้เริ่มจำหน่าย Galaxy S9 ส่วนธุรกิจหน่วยความจำที่เป็นตัวสร้างกำไรหลักยังคงมียอดสั่งซื้อสูงต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนหน้าจอ OLED คาดว่ายอดขายจะลดลง ตามข่าวการลดคำสั่งซื้อของ iPhone X

Huawei รายงานผลประกอบการประจำปี 2017 มีรายได้รวม 6.036 แสนล้านหยวน หรือคิดเป็น 9.25 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 15.7% จากปี 2016 และมีกำไรสุทธิ 4.75 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้น 28.1% มีตัวเลขที่น่าสนใจคือเงินลงทุนด้าน R&D นั้นเพิ่มขึ้นถึง 17.4% เป็น 8.97 หมื่นล้านหยวน

Ken Hu ซีอีโอหมุนเวียนตามวาระของ Huawei กล่าวว่า โอกาสและความท้าทายต่างๆ เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เคยเป็นมา การสร้างนวัตกรรมจึงเป็นหนทางเดียวที่สำคัญ และ Huawei จะยังเพิ่มการลงทุนด้านนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อไป

Tencent ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตจีน รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 รายได้รวม 10,161 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 51% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3,309 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 105%

ปัจจุบันมูลค่ากิจการ Tencent อยู่ราว 5.6 แสนล้านดอลลาร์ เป็นบริษัทในเอเชียที่มีมูลค่ากิจการสูงที่สุด และเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจาก แอปเปิล, Amazon, Alphabet และไมโครซอฟท์

ออราเคิลรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ตามปีการเงินบริษัท 2018 (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) มีรายได้รวม 9,771 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน สุทธิแล้วขาดทุน 4,024 ล้านดอลลาร์ จากการบันทึกค่าใช้จ่ายครั้งเดียวของการปรับโครงสร้างภาษีสหรัฐ 6.9 พันล้านดอลลาร์ หากไม่มีรายการดังกล่าวจะมีกำไรสุทธิ 3.5 พันล้านดอลลาร์

รายได้จากบริการคลาวด์และไลเซนส์ซอฟต์แวร์เติบโต 8% เป็น 7,981 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนของคลาวด์ SaaS เพิ่มขึ้น 33% เป็น 1,151 ล้านดอลลาร์, คลาวด์ PaaS รวมกับ IaaS เพิ่มขึ้น 28% เป็น 415 ล้านดอลลาร์

อโดบีรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ตามปีการเงินบริษัท 2018 (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) รายได้ยังคงเดินหน้าทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่องอีกไตรมาส เพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนเป็น 2,078.9 ล้านดอลลาร์ และมีกำไรสุทธิ 583.1 ล้านดอลลาร์

รายได้จาก Subscription ซึ่งเป็นช่องทางหลักของอโดบียังคงเติบโตสูง เพิ่มขึ้นถึง 29.6% เป็น 1.79 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมลดลง 6.4% เป็น 171 ล้านดอลลาร์ เมื่อแยกตามหมวดผลิตภัณฑ์ Creative Cloud มีรายได้ 1.23 พันล้านดอลลาร์

ราคาหุ้นของอโดบียังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และตอนนี้มีมูลค่ากิจการสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์แล้ว

Rovio Entertainment รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 4 ปี 2017 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน อยู่ที่ 73.9 ล้านยูโร และมีกำไรสุทธิ 8.0 ล้านยูโร

รายได้ส่วนใหญ่ของ Rovio มาจากธุรกิจเกม ซึ่งมีเกมตระกูล Angry Birds เป็นตัวชูโรง นอกจากนี้ยังมีรายได้บางส่วนจากการขายไลเซนส์สินค้าด้วย

ซีอีโอ Kati Levoranta กล่าวว่าเกมที่เปิดตัวในไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ Angry Birds Match, Angry Birds Evolution และ Battle Bay นั้นให้ผลลัพธ์ต่ำกว่าที่บริษัทประเมินไว้ เนื่องจากการแข่งขันในตลาดสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเกม Puzzle ทำให้ต้นทุนในการเพิ่มผู้เล่น (user acquisition cost) สูงมากขึ้นด้วย