ยังไม่พบจุดลงตัวสักทีสำหรับฟีเจอร์ของ Twitter ที่ช่วยให้เราติดตามข่าวสารทั่วโลก ล่าสุด Twitter ประกาศเปลี่ยนชื่อแท็บใหม่อีกแล้ว จากเดิม Moments มาเป็น Explore (ลักษณะเดียวกับใน Instagram)
แท็บ Explore จะรวมเอา trend, Moments, search และ live video มารวมกันให้ผู้ใช้กดติดตามสถานการณ์ปัจจุบันได้ง่ายขึ้น ในแง่ฟีเจอร์ไม่มีอะไรถูกตัดออกไป แค่เปลี่ยนหน้าตาและชื่อเรียกเท่านั้น
แท็บ Explore ถูกเพิ่มเข้ามาแล้วใน Twitter for iOS และบน Android จะตามมาในเร็วๆ นี้
ที่มา - Twitter Blog
Facebook ประกาศปรับอัลกอริทึม News Feed อีกครั้ง คราวนี้เป็นการปรับเพื่อคัดเลือกวิดีโอขึ้นมาแสดงให้ผู้ใช้เห็น โดยอัลกอริทึมใหม่จะให้ความสำคัญกับ "วิดีโอขนาดยาวที่ดูจบ" มากขึ้น ส่งผลให้วิดีโอที่มีความยาวมาก มีโอกาสถูกแสดงบน News Feed มากขึ้น และวิดีโอขนาดสั้นจะถูกลดความสำคัญลง
ทั้งนี้ Facebook ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าวิดีโอแบบไหนที่เรียกว่าสั้นหรือยาว โดยใช้คำว่า longer video และ shorter video เท่านั้น
มาถึงตอนนี้ ผู้ใช้ Instagram คงคุ้นเคยกับฟีเจอร์ Stories ที่ลอยอยู่บริเวณด้านบนสุดของแอพกันแล้ว (แรงบันดาลใจจาก Snapchat) แต่ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่จบแค่นั้น เพราะฟีเจอร์นี้กำลังจะเดินทางมาสู่แอพ Facebook ตัวหลักด้วย
หน้าตาของ Stories บน Facebook แทบจะเหมือนกับ Instagram ทุกประการ คือเป็นไอคอนวงกลมลอยอยู่ด้านบนสุดของแอพ และเป็นโพสต์แบบชั่วคราวที่จะหายไปเองภายใน 24 ชั่วโมง
ตอนนี้ Facebook ทดสอบฟีเจอร์นี้กับผู้ใช้ในประเทศไอร์แลนด์ และจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ในอนาคต
Facebook ให้เหตุผลว่าวิธีการแชร์เนื้อหาของผู้คนเปลี่ยนไปจากเดิม เน้นการแชร์ภาพและวิดีโอมากขึ้น บริษัทจึงต้องการให้การแชร์ง่ายที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในช่วงที่ผ่านมา แอพแชร์วิดีโอ Beme ได้สร้างกระแสความสนใจได้ด้วยแนวคิดแปลกใหม่ และการโปรโมทโดยผู้ก่อตั้ง Youtuber ชื่อดัง Casey Neistat
หลังจากแอพได้เปิดตัวไปช่วงกลางปี ช่วงหลังกระแสก็หายไปจนกระทั่ง The Wall Street Journal รายงานว่า CNN ซื้อแอปพลิเคชัน Beme ในราคาประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ
ประเด็นเรื่องข่าวปลอมบน Facebook ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก จนล่าสุด Mark Zuckerberg ต้องออกโรงมาชี้แจงอีกรอบ
เดิมที Zuckerberg มองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เมื่อเสียงวิจารณ์หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทีล่าสุดของเขาจึงเปลี่ยนไป รอบนี้เขาบอกว่า Facebook ต้องการแก้ปัญหาข้อมูลผิด (misinformation) อย่างจริงจัง บริษัทมีโครงการหลายอย่าง มีความคืบหน้าบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีงานที่ต้องทำอีกมาก
ที่ผ่านมา บริษัทใช้วิธีให้ชุมชนผู้ใช้ช่วยกันแจ้งว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหนปลอม และนำข้อมูลเหล่านี้ไปประมวลผลร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อแสดงข่าวปลอมเหล่านี้ให้น้อยลงบน News Feed แต่ปัญหาเรื่องข่าวปลอมมีความซับซ้อนสูง ทั้งในเชิงแนวคิด (อาจปิดกั้นแสดงความเห็น) และในเชิงเทคนิค (ตรวจสอบได้แม่นยำแค่ไหน)
โครงการผูกบัญชี Google+ ของกูเกิลถือว่าล้มเหลว หลังจากกูเกิลเลิกบังคับการผูกบัญชี Google+ กับบริการในเครือ ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุดกูเกิลออกคำแนะนำให้เลิกใช้ปุ่ม Sign in with Google+ และเปลี่ยนมาเป็น Sign in with Google (ไม่มี + แทน)
ปุ่ม Sign in with Google แบบใหม่ใช้ได้กับผู้ใช้ทุกคนที่มีบัญชี Google Account และไม่จำเป็นต้องมีบัญชี Google+
นักพัฒนาแอพหรือเว็บที่เคยทำระบบ Sign in with Google ตั้งแต่สมัย Plus ต้องเปลี่ยนโค้ดเล็กน้อยเพื่อใช้ปุ่มแบบใหม่
เจ้าของแบรนด์หรือร้านค้าบนโซเชียลยุคนี้ต้องรับการติดต่อจากลูกค้าหลายช่องทาง ล่าสุด Facebook อำนวยความสะดวกให้เราสามารถอ่านข้อความแจ้งเตือนคอมเมนต์จากเพจ Facebook, ข้อความแชทจาก Messenger, ข้อความแจ้งเตือนจาก Instagram ได้ในหน้าจอเดียวกัน ไม่ต้องสลับแอพไปมาให้เสียเวลา
ฟีเจอร์นี้จะอยู่ในแอพ Pages Manager ที่ออกมาอำนวยความสะดวกให้เจ้าของเพจอยู่แล้ว โดยแอพจะแสดงแท็บ 3 แท็บของการสื่อสารแต่ละแบบให้เสร็จสรรพ และสามารถตอบข้อความทั้งหมดได้จากแอพ Pages Manager โดยตรง
นอกจากนี้ แอพยังอำนวยความสะดวกโดยแสดงข้อมูลเบื้องต้นจาก profile ลูกค้าที่มาคุยกับเรา ดูประวัติการติดต่อครั้งก่อน และใส่ป้าย label เพื่อให้แยกประเภทของลูกค้าได้ง่ายด้วย
รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศนำ Workplace by Facebook มาใช้งานในหน่วยงานราชการทั้งประเทศภายในเดือนมีนาคมปีหน้า
เดิมรัฐบาลสิงคโปร์มีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำหรับการติดต่องานภายในอยู่แล้วในชื่อ Cube แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก โดยเฉพาะการที่ไม่สามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้ รัฐบาลสิงคโปร์จึงนำเอา Facebook Workplace มาทดลองใช้กับหน่วยงานรัฐ 15 หน่วยงานตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก่อนจะพบว่าข้าราชการกว่า 82% ที่มีแอคเคาท์ กลายเป็น active weekly users ไปแล้ว
การใช้ Facebook Workplace นี้รัฐบาลสิงคโปร์จะต้องจ่ายค่าบริการให้กับเฟซบุ๊กเป็นจำนวนเงิน 155,000 เหรียญสหรัฐต่อปี จากจำนวนผู้ใช้งานทั้งหมดราว 143,000 คน
บารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่มีบัญชีทวิตเตอร์ประจำตำแหน่ง @POTUS (ย่อมาจาก President of the United States)
เมื่อบารัค โอบามา กำลังจะพ้นจากตำแหน่ง บัญชีทวิตเตอร์อันนี้ก็จะถูกส่งต่อให้กับประธานาธิบดีคนถัดไป คำถามคือการเปลี่ยนแปลงจะเป็นอย่างไรบ้าง
ทำเนียบขาวมีคำตอบเรื่องนี้ไว้แล้ว โดยบัญชี @POTUS จะถูกลบข้อความทวีตทั้งหมดในยุคโอบามา เพื่อให้ประธานาธิบดีคนใหม่มีบัญชีเปล่าๆ พร้อมใช้งาน (แต่ยังมีคนฟอลโลว์ 11 ล้านคนเหมือนเดิม) ข้อความเหล่านี้จะย้ายไปเก็บไว้ในบัญชี @POTUS44 เพื่อเป็นคลังข้อความจดหมายเหตุแห่งชาติ (archive) ซึ่งนโยบายนี้จะใช้กับบัญชีอื่นๆ อย่างสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง (@FLOTUS) รองประธานาธิบดี (@VP) และเจ้าหน้าที่ระดับสูงตำแหน่งอื่นๆ ด้วย
เมื่อเดือนก่อน Twitter เพิ่งประกาศว่าไม่นับลิงก์รูปภาพ วิดีโอ โพล และ quoted tweet ใน 140 ตัวอักษร ล่าสุดกำลังทดสอบการทวีตหากันไม่นับว่า username อยู่ใน 140 ตัวอักษร
โฆษกของ Twitter ยืนยันกับ TechCrunch ว่าการทดสอบนี้เป็นเรื่องจริง และกำลังทดสอบในกลุ่มผู้ใช้บางคนบนแอพมือถือเท่านั้น
วิธีการที่ Twitter เลือกใช้คือเมื่อผู้ใช้ตอบทวีต ในช่องทวีตจะไม่มี @username แต่มีข้อความว่า 'Replying to [username] and others' ปรากฎอยู่ข้างบนแทน และถ้าต้องการจะตอบทวีตเป็นกลุ่ม ให้แตะคำว่า others ก็จะมีรายชื่อขึ้นมาให้เลือกว่าจะ mention หาใครบ้าง ส่วนหน้า Timeline ทวีตที่ถูกตอบก็จะไม่แสดง @username และมีข้อความบอกว่าทวีตนี้ตอบหาใคร
ในยุคที่ข้อมูลอะไรก็หาง่าย เราจึงควรระวังให้มากเรื่องการโพสต์อะไรต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ เพราะมันอาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราในภายหลัง อย่างเช่นกรณีของชายผู้นี้ ที่เข้าทำงานกับ Twitter ได้เพียง 1 วันก็โดนไล่ออกเพราะสิ่งที่เขาเคยโพสต์ไว้หลายปีก่อน
Gregory Gopman เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ตอัพชื่อ AngelHack ซึ่ง Twitter เพิ่งรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าทีม VR เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม แต่เพียงวันเดียวหลังจากนั้น เขาก็ถูกไล่ออก เนื่องจากเว็บไซต์ TechCrunch ขุดเรื่องที่เขาเคยโพสต์ลง Facebook ส่วนตัวเมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นโพสต์ที่เขาเขียนดูถูกคนไร้บ้านที่อยู่ในซานฟรานซิสโก รวมถึงเรียกพวกเขาว่า "พวกจิตไม่ปกติ" (degenerates) ขณะนี้โพสต์ดังกล่าวถูกลบทิ้งไปแล้ว แต่ยังดูได้จากที่มา
หลังโดนไล่ออก Gopman โพสต์บน Facebook ว่า "แล้วผมก็ถูกไล่ออก ขอบคุณนะ TechCrunch" (Anddd I'm fired. Thanks TechCrunch.)
ที่มา - Business Insider
หนึ่งในบริการไมโครบล็อกกิ้งที่เรารู้จักกันดีคือ Twitter ซึ่งเริ่มให้บริการมาตั้งแต่ปี 2006 และได้รับความนิยมอย่างมาก หลังจากนั้นในปี 2009 ก็มีบริการที่ "คล้ายกันมาก" คือ Sina Weibo จากประเทศจีนออกมา สุดท้ายทั้งสองบริการก็เข้าตลาดหุ้นทั้งคู่ ล่าสุดมีรายงานออกมาว่า Weibo มีมูลค่าแซง Twitter ไปแล้ว
ในวันที่ Twitter เข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2013 บริษัทฯ มีมูลค่าถึง 2.68 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขณะนี้มูลค่าลดลงไปกว่าครึ่ง เหลือเพียง 1.123 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ในขณะที่ฝั่ง Weibo ที่เข้าตลาดหุ้นเมื่อปี 2014 มีมูลค่าบริษัทตอนนั้นเพียง 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตอนนี้มีมูลค่าพุ่งขึ้นไปสูงถึง 1.132 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
มาตามนัด Facebook at Work บริการโซเชียลสำหรับการทำงาน เปิดตัวอย่างเป็นทางการในชื่อใหม่ Workplace by Facebook
Workplace by Facebook เปิดบริการมาก่อนแล้วใน 5 ประเทศ และมีองค์กรใช้งานกว่า 1,000 ราย ตอนนี้ Workplace เปิดบริการแก่องค์กรทุกรายที่ต้องการใช้งาน โดยคิดราคาตามจำนวนผู้ใช้งานจริง (monthly active users) เริ่มต้นที่ 3 ดอลลาร์ต่อคนต่อเดือน และถ้ามีผู้ใช้มากกว่า 10,000 ราย ราคาจะเหลือเพียง 1 ดอลลาร์ต่อคนต่อเดือน สำหรับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานไม่หวังผลกำไร สามารถใช้งานได้ฟรี
สำนักข่าวอิศรารายงานถึงคำสั่งจากพลเอกประยุทธ์ ไปถึงหน่วยงานทุกหน่วยงาน ตั้งแต่หน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานในกำกับดูแล ให้ "จัดเจ้าหน้าที่" เพื่อติดตามสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย และสื่อสิ่งพิมพ์ ตลอด 24 ชั่วโมง และชี้แจงทันทีหรือดำเนินการแก้ไขใน 24 ชั่วโมง
ทางอิศราระบุว่าคำสั่งนี้ส่งต่อกันในหมู่ผู้บริหารหน่วยงานราชการหลายแห่ง โดยเอกสารระบุเหตุผลว่า "หากไม่ทำ ความน่าเชื่อถือไว้วางใจรัฐบาลจะลดลง"
Facebook at Work เปิดทดลองใช้งานมาตั้งแต่ต้นปี 2015 และมีข่าววงในมาว่าบริษัทเตรียมเปิดให้ใช้งานในวงกว้างในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
Facebook at Work เป็นบริการโซเชียลเน็ตเวิร์คสำหรับการทำงาน (กลุ่มเป้าหมายเหมือน LinkedIn หรือ Yammer) รูปแบบการใช้งานจะเหมือน Facebook รุ่นปกติทุกประการ เพียงแต่เราจะเห็น "Work Feed" โพสต์จากเพื่อนร่วมงานแทนที่จะเป็นเพื่อนในระบบปกติ นอกจากนี้ยังมีบริการ Events, Groups และ Messenger สำหรับการใช้เรื่องงานแยกต่างหากด้วย จุดเด่นที่สำคัญของ Facebook at Work คงเป็นว่าแทบทุกคนใช้ Facebook กันเป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรกันใหม่
งาน TechCrunch Disrupt ที่ผ่านมา Adam Mosseri รองประธานฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ส่วน News Feed ของ Facebook พูดว่าผู้ใช้งานจะอ่านเนื้อหาบน News Feed ประมาณ 10% จากเรื่องราวที่แสดงทั้งหมดในแต่ละวัน จากเรื่องทั้งหมดที่เตรียมไว้ให้ประมาณ 2,000 เรื่องต่อผู้ใช้หนึ่งคน
Mosseri กล่าวว่าเป้าหมายของ News Feed คือเชื่อมผู้ใช้กับเรื่องราวที่สำคัญ (the stories that matter) ซึ่ง Facebook จัดลำดับความสำคัญให้กับโพสต์จากเพื่อนหรือครอบครัวมากขึ้น ลดเนื้อหาประเภท Clickbait ให้น้อยลง สถิติของผู้ใช้ Facebook ในสหรัฐใช้เวลาอ่าน News Feed เฉลี่ยวันละ 45 นาที แต่บริษัทก็พบว่าคนค่อยๆ ใช้เวลาอ่านข้อมูลมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์มากขึ้นอย่างช้าๆ
เดือนก่อน YouTube มีข่าวว่าเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ที่ใช้ชื่อว่า Backstage ซึ่งทีมงานได้บอกว่ามันคือไทม์ไลน์สำหรับแชนแนล ตอนนี้ได้เปิดตัวออกมาเป็นทางการแล้วในชื่อ YouTube Community ในเวอร์ชัน public beta
เจ้าของแชนแนลสามารถโพสต์ข้อความ, ถ่ายทอดสดวิดีโอ, ส่งไฟล์ภาพหรือส่งไฟล์ GIF ได้ ส่วนผู้ใช้ที่ติดตามแชนแนลสามารถตอบข้อความของโพสต์เหล่านี้ได้เช่นกัน โดยใช้แทนแท็บ Discussion ของเดิม ฟีเจอร์นี้ของ YouTube ช่วยให้เจ้าของแชนแนลและผู้ติดตามสื่อสารกันได้มากขึ้นนั่นเอง
Mark Zuckerberg ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กได้แชร์ภาพและหลักไมล์เมื่อฟีเจอร์ News Feed เริ่มถูกนำมาใช้งานบนเฟซบุ๊กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว พร้อมเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของการสร้างฟีเจอร์ ที่เป็นเหมือนฟีเจอร์หลักของเฟซบุ๊กนี้
ซีอีโอเฟซบุ๊กเล่าให้ฟังว่าในช่วง 2 ปี เฟซบุ๊กเป็นเพียแหล่งรวมโปรไฟล์ของแต่ละคนเท่านั้น ซึ่งผู้ใช้ได้แค่เข้าไปดูโปรไฟล์และข้อมูลพื้นฐานของเพื่อน แต่ไม่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนได้
แอพ Path ยังไม่หายไปไหน ยังเดินหน้าพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ต่อไป ล่าสุดได้อัพเดตฟีเจอร์ถ่ายภาพใหม่ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปรับแต่งแสงได้ขณะถ่ายภาพ, เลือกอัตราส่วนของภาพได้ 3 แบบ, ปรับแต่งและแก้ไขภาพได้มากขึ้นและสามารถตัดต่อวิดีโอที่ถ่ายไว้ได้
ใช้งานฟีเจอร์ใหม่นี้ได้แล้วบน iOS และ Android
ที่มา : Path Blog
ไม่นานนักหลัง Twitter เปิดตัวฟีเจอร์สติ๊กเกอร์ เพื่อตกแต่งรูปภาพก่อนโพสต์ วันนี้ Twitter ก็แปรเปลี่ยนมันเป็นตัวสร้างรายได้ทันที โดยเพิ่มสติ๊กเกอร์ของสปอนเซอร์ (Promoted Stickers) เข้ามาเพิ่มจากสติ๊กเกอร์ปกติ
แบรนด์สามารถสร้างสติ๊กเกอร์ได้ชุดละ 4 หรือ 8 ลาย โดยแบรนด์แรกที่ร่วมเปิดตัวสติ๊กเกอร์แบบใหม่คือ Pepsi ที่มีสติ๊กเกอร์ทั้งหมดเกือบ 50 ลาย ทำตลาดใน 10 ประเทศ
ระบบสติ๊กเกอร์ของ Twitter ไม่ได้แปะลงไปบนตัวภาพตรงๆ แต่ลอยทับภาพอีกทีหนึ่ง มันยังทำหน้าที่เป็นเหมือน #hashtag ด้วย ผู้ใช้สามารถค้นหาโพสต์ที่มีสติ๊กเกอร์นั้นๆ ได้แบบเดียวกับการค้นหาจาก #hashtag เลย
Arun Vijayvergiya และ Nikolay Valtchanov อดีตทีมวิศวกรของ Facebook สร้างแอพ Fabric เครื่องมือบันทึกเรื่องราวของผู้ใช้ ภาพถ่าย สถานที่ที่ไป เป็นเหมือนไดอารี่ส่วนตัว โดย Vijayvergiya สมัยที่ยังทำงานที่ facebook เป็นผู้คิดระบบหน้าตาไทม์ไลน์เวอร์ชั่นแรกของ Facebook ที่ต่อมามีชื่อเรียกว่า Facebook Memories และยังทำ Year in Review และ On This Day ใน Facebook ด้วย
การทำงานของ Fabric จะเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดีย และรูปภาพในสมาร์ทโฟน โดยดึงรูปภาพที่ผู้ใช้โพสต์ไว้ตามช่องทางต่างๆ มาปักหมุดบนแผนที่ในแอพ และสร้างไดอารี่ให้ผู้ใช้ทันทีที่ลงทะเบียนเข้าระบบ และมีแถบบอกเวลาเป็นไทม์ไลน์ฝั่งขวามือช่วยบอกว่าผู้ใช้โพสต์ภาพนี้ ที่นี่ เมื่อปีไหน
เว็บไซต์นิตยสาร Fast Company เผยแพร่บทสัมภาษณ์ Jessica Carbino นักสังคมวิทยาที่ปัจจุบันทำงานให้กับ Tinder โดยสอบถามถึงบทบาทของนักสังคมวิทยากับการทำงานร่วมกับบริษัทไอที (ความเห็นส่วนตัว: แนะนำให้นักศึกษาหรือนิสิตด้านสังคมวิทยาอ่านเป็นอย่างยิ่ง) รวมถึงคำแนะนำต่างๆ เกี่ยวกับการใช้งาน Tinder ให้ได้คู่รู้ใจชีวิต
ต้องยอมรับว่าถ้าไม่มี Facebook หลายๆ คนก็คงไม่รู้ว่าเพื่อนของเรามีวันเกิดวันไหน ล่าสุด Facebook ปล่อยฟีเจอร์รวบรวมคำอวยพรในวันเกิดที่เพื่อนๆ โพสต์ลงเป็นหน้าวอลล์เราเป็นวิดิโอสรุปประมาณ 45 วินาที เป็นของขวัญวันเกิด โดยเมื่อผู้ใช้เปิดหน้า News Feed หลังจากวันเกิดแล้ว Facebook จะแสดงคลิปดังกล่าวขึ้นมาให้อัตโนมัติด้านบนสุดของ News Feed ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกแก้ไขรายละเอียดของคลิปได้ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ความเห็นหรือคำอวยพรที่อยากจะให้แสดงในคลิป จากนั้นก็เลือกแชร์ได้ตามปกติเพื่อเป็นคำขอบคุณแก่ผู้ที่มาอวยพรวันเกิดบน Facebook ให้เรานั่นเอง
ที่มา : engadget
เดิมทีการขอยืนยันบัญชี (Verified Account) ของ Twitter ต้องได้รับคำเชิญจากบริษัทเท่านั้น แต่ล่าสุด Twitter เปิดให้ "ใครก็ได้" สามารถยื่นคำขอรับ Verified Account ผ่านเว็บไซต์แล้ว
บัญชีที่จะขอ Verified Account ต้องกรอกข้อมูล profile ครบถ้วนก่อน และเจ้าของบัญชีต้องระบุเหตุผลว่าทำไม Twitter ควรมอบป้าย Verified ให้ด้วย เช่น เป็นบุคคลที่รู้จักในวงกว้างหรือเป็นองค์กรที่มีภารกิจชัดเจน
บัญชี Twitter อันแรกที่ได้รับป้าย Verified คือ @CDCGov บัญชีของ CDC หน่วยงานด้านการควบคุมโรคระบาดของสหรัฐอเมริกา
Google ประกาศเข้าซื้อ Kifi สตาร์ทอัพที่พัฒนาส่วนเสริมสำหรับการแชร์และแนะนำลิงก์ในโซเชียลมีเดีย มาเสริมทัพแอพแชทกลุ่ม Spaces ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยไม่มีการเปิดเผยมูลค่า
ถึงแม้แอพ Kifi จะปิดตัวลงในอีก 2-3 อาทิตย์ข้างหน้า แต่ทีมงานและเทคโนโลยีของ Kifi จะไปร่วมงานและน่าจะถูกนำไปพัฒนาและควบรวมไว้ในแอพ Spaces อย่างไรก็ตามทาง Google ไม่ได้เปิดเผยว่าดึงพนักงานของ Kifi เข้าไปร่วมงานด้วยทั้งหมดกี่คน
ที่มา - TechCrunch