บริษัทสำรองข้อมูลออนไลน์ Backblaze ที่สั่งซื้อฮาร์ดดิสก์เป็นจำนวนมาก เคยเปิดเผยสถิติความทนทานของฮาร์ดดิสก์ปี 2013 มาก่อนแล้ว ผลคือ Hitachi (ปัจจุบันคือ HGST ในเครือ Western Digital) นำมาเป็นอันดับหนึ่ง

ปีนี้ Backblaze นำสถิติของปี 2014 มาเผยแพร่อีกรอบ โดยมีฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดเกือบ 40,000 ตัว ผลคือฮาร์ดดิสก์ของ HGST ยังนำมาเป็นอันดับหนึ่งในแง่ความทนทาน ตามด้วย Western Digital และ Seagate รั้งท้าย

แม้ราคาของ SSD ในปัจจุบันจะจับต้องได้มากกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ปัญหาเรื่องความจุจำกัดก็ยังคงอยู่ โดยเฉพาะในระดับ TB ที่ราคาเรียกได้ว่าแพงระยับจนผู้ใช้ที่ต้องการความจุมากๆ ยังคงต้องพึ่งพาฮาร์ดดิสก์กันต่อไป แต่ในอนาคตปัญหานี้อาจเบาบางลง หลังจาก Western Digital เพิ่งออกมาโชว์ตัวฮาร์ดดิสก์รุ่นต้นแบบขนาด 3.5" ทำความเร็วได้ใกล้เคียง SSD ในความจุระดับ 4TB มาแล้ว

ฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่นี้ยังไม่มีชื่อ โดยภายในเป็นการรวมฮาร์ดดิสก์ความจุ 4TB เข้ากับ SSD ความจุ 128GB และใช้อินเทอร์เฟซ PCIe 2.0 x2 ผ่าน SATA Express โดยความเร็วของดิสก์ลูกนี้อยู่ที่ประมาณ 550 MB/s และ 1GB/s เมื่อต่อ RAID 0 และยังเป็น SATA3 ซึ่งใกล้เคียงกับ SSD เลยทีเดียว

จากที่ Seagate เผยข้อมูลฮาร์ดดิสก์ขนาด 8 TB ออกมาก่อนหน้านี้นั้น ตอนนี้ทาง Seagate ก็เริ่มวางจำหน่ายฮาร์ดดิสก์รุ่นดังกล่าวในราคา $260 แล้วครับ เมื่อคิดราคาต่อพื้นที่แล้วจะตกอยู่ที่ราว $0.03 นิดๆ ต่อพื้นที่ 1 GB เท่านั้น

HGST บริษัทลูกของ Western Digital (หน่วยธุรกิจฮาร์ดดิสก์ Hitachi เดิม) เปิดตัวฮาร์ดดิสก์ขนาด 10TB รุ่นแรกของโลก โดยจะเน้นตลาดองค์กรที่ต้องการเก็บข้อมูลระยะยาว ไม่ถูกเรียกใช้บ่อยๆ (cold storage) และชูจุดขายด้านราคาต่อความจุที่ถูกมากๆ

Seagate ผู้นำด้านหน่วยความจำเปิดตัวฮาร์ดดิสก์แบบเดี่ยว ขนาด 3.5" ความจุ 8TB ตัวแรกของโลก รองรับ SATA ที่ความเร็ว 6Gbps หลังจากที่ค้างที่ 6TB มาซักพัก

โดย Seagate อ้างว่า กำลังไฟที่ใช้ต่อความจุนั้นถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน และยังทำให้ประหยัดพื้นที่ต่อความจุในศูนย์ข้อมูลอีกด้วย

ตอนนี้จะส่งมอบให้กับลูกค้าในวงจำกัดเท่านั้น และคาดว่าจะส่งมอบได้ทั่วไปตั้งแต่ช่วงสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ยังไม่ได้ระบุราคาขายปลีกแต่อย่างใด

Western Digital ผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์รายใหญ่ประกาศเพิ่มสายการผลิตอีกหนึ่งสายสำหรับ internal hard disk โดยใช้ชื่อว่า WD Purple ตามแบบฉบับของบริษัทที่ตั้งชื่อตามสีต่างๆ ซึ่งสีนี้ก็เป็นสีที่ 5 แล้ว โดยจะเน้นการทำงานสำหรับการบันทึกภาพกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง และได้เผยแพร่ข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ตัวนี้บนเว็บไซต์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงของวิดีโอโปรโมทบนช่องใน YouTube ของบริษัทด้วย

สำหรับข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ตัวนี้นั้น ในเว็บไซต่ได้ให้รายละเอียดดังนี้:

ผู้ให้บริการสำรองข้อมูลออนไลน์ Backblaze ที่เคยเปิดแบบเซิร์ฟเวอร์สำรองข้อมูลต้นทุนต่ำมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้มาเปิดเผยข้อมูลอายุฮาร์ดดิสก์ที่ใช้งาน จากประสบการณ์การใช้ฮาร์ดดิสก์มาแล้วถึง 27,134 ลูก

ผลการเก็บข้อมูลพบว่าฮาร์ดดิสก์ของฮิตาชินั้นมีอัตราการเสียต่อปีเพียง 0.9% - 1.5% ต่ำที่สุดในบรรดาสามแบรนด์ที่ Backblaze ใช้ ตามมาด้วย Western Digital ที่อยู่ในช่วง 3.2% - 3.6% ที่แย่ที่สุดคือซีเกท อยู่ในช่วง 3.8% - 25.4%

รายงานนี้ตัดข้อมูลบางชุดออก เช่น Western Digital Green 3TB และ Seagate LP 2TB ที่มีอัตราการเสียหายสูงมาก โดยทาง Backblaze คาดว่าเป็นเพราะความสั่นสะเทือนในเซิร์ฟเวอร์สูงเกินไป

บริษัทแบ็คอัพออนไลน์ Backblaze โชว์สถิติราคาต่อความจุ (นับเป็นดอลลาร์ต่อ GB) ของฮาร์ดดิสก์ในตลาดโลก ว่ากลับเข้าสู่อัตราราคาปกติก่อนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ของประเทศไทยปี 2554 แล้ว

ช่วงก่อนน้ำท่วม ค่าใช้จ่ายในการเก็บข้อมูลอยู่ที่ 0.044 ดอลลาร์ต่อ GB แต่หลังน้ำท่วม ฮาร์ดดิสก์ขาดตลาดทำให้ราคาพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 0.064 ดอลลาร์ต่อ GB ก่อนจะค่อยๆ ปรับสภาพเข้าสู่ช่วงราคาเดิม (ดูกราฟประกอบ) ถือว่าใช้เวลานานกว่าที่คาด เพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่าสภาพตลาดจะกลับคืนปกติภายใน 1 ปี แต่ตามสถิติที่เห็นคือใช้เวลา 2 ปี

ปัญหาน้ำท่วมในไทยทำให้แนวโน้มของราคาต่อความจุของฮาร์ดดิสก์ที่ลดลงเรื่อยๆ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาต้องผิดเพี้ยนไป (อธิบายง่ายๆ ว่ากราฟเสียรูป)

เราเห็นข่าวของอเมซอน (และตามด้วยกูเกิล) เปิดให้ส่งฮาร์ดดิสก์ไปเพื่อขนถ่ายข้อมูลเข้าบริการกลุ่มเมฆกันแล้ว คราวนี้ถึงคิวของไมโครซอฟท์บ้างครับ

ไมโครซอฟท์ตั้งชื่อบริการนี้ว่า Windows Azure Import/Export Service โดยหลักการก็คงไม่ต่างจากคู่แข่งมาก นั่นคือส่งฮาร์ดดิสก์ไปยังศูนย์ข้อมูลของไมโครซอฟท์ แล้วไมโครซอฟท์จะถ่ายข้อมูลลงบัญชี Windows Azure Storage ของเราให้ ที่พิเศษหน่อยคงเป็นว่าเราสามารถเข้ารหัสข้อมูลด้วย BitLocker ก่อนส่งฮาร์ดดิสก์ได้ (ป้องกันฮาร์ดดิสก์โดนขโมยหรือสูญหายระหว่างทางแล้วข้อมูลหาย) แล้วค่อยไปถอดรหัสปลายทางหลังไมโครซอฟท์นำข้อมูลเข้ามาให้แล้ว

เมื่อคืนนี้ (27 ตุลาคม 2556) ละครโทรทัศน์เรื่องธิดาพญายม ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งเป็นตอนอวสานของละครได้ออกอากาศ และผู้ชมพบว่ามีความผิดพลาดในฉากที่เป็นเทคนิคพิเศษด้านภาพ (ซีจี) โดยหลายฉากไม่มีภาพพิเศษ อาทิ ดาบของตัวละครไม่เรืองแสง ไม่มีแสงในฉากปล่อยพลัง หรือบางฉากก็มีฉากหลังเป็นผืนผ้าสีดำเลย

ผู้ผลิตหน่วยความจำอย่าง Seagate ยังคงพัฒนาฮาร์ดดิสก์ให้มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ล่าสุดเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ซีรีส์ Ultra Mobile HDD บางเพียง 5 มม. สำหรับแท็บเล็ต หรือโน้ตบุ๊กไฮบริด

ความจุของ Ultra Mobile HDD แม้จะเทียบไม่ได้กับรุ่นสำหรับโน้ตบุ๊กมาตรฐาน แต่ก็เหนือกว่าหน่วยความจำแบบแฟลชมาก ด้วยความจุ 500GB ส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เฟซ SATA ที่แบนวิดท์ 6Gbps สำหรับคนที่กังวลว่าจะขยับตัวเวลาใช้งานมากไม่ได้ เจ้าฮาร์ดดิสก์ตัวนี้มาพร้อมกับเซนเซอร์สำหรับปิดการทำงานเมื่อตกจากที่สูง และเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวสำหรับป้องกันให้ฮาร์ดดิสก์ปลอดภัยดี ในขณะที่กินไฟไม่ต่างจากหน่วยความจำแบบอื่นที่ใช้ในแท็บเล็ต

ในงาน CES 2013 ช่วงต้นปี Seagate ได้เปิดตัวฮาร์ดดิสก์ไร้สายซีรีส์ Wireless Plus ที่ออกแบบมาเพื่อใช้สตรีมคอนเทนต์ไปยังอุปกรณ์พกพาโดยเฉพาะ และมาพร้อมกับแบตเตอรี่ในตัวสำหรับพกพาไปใช้งานนอกสถานที่

ตอนนี้เจ้าฮาร์ดดิสก์ไร้สายที่ว่าเริ่มขายในประเทศไทยแล้ว (ดูราคามาอยู่ที่ 6,390 บาท) ทาง Seagate ได้ส่งมาให้ลองใช้ดู โมเดลที่ได้มารีวิวเป็นรุ่น 1TB ครับ (เข้าใจว่ามีความจุเดียวเนี่ยแหละ)

เกริ่นมาพอสมควรแล้วก็มาดูเจ้า Seagate Wireless กันเลย ตัวแพคเกจมาในขนาดใหญ่พอตัว ด้านในมีอุปกรณ์คู่ชีวิตอย่าง อแดปเตอร์ชาร์จไฟ สาย AC-to-DC และสาย USM SATA-to-USB 3.0 ครับ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา T__T)

การส่งข้อมูลขนาดใหญ่ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตยังไม่ใช่เรื่องสะดวกนักในปัจจุบัน ซึ่งผู้ให้บริการกลุ่มเมฆก็ทราบปัญหานี้ดี และเปิดให้ใช้วิธีแบบออฟไลน์คืออัดข้อมูลลงฮาร์ดดิสก์แล้วส่งไปรษณีย์ไปอัพโหลดที่ปลายทางแทน (อัพโหลดข้อมูลขนาดใหญ่ขึ้นเซิร์ฟเวอร์ Amazon อย่างไรดี? คำตอบ "ส่งพัสดุ")

วันนี้ฝั่งกูเกิลประกาศนโยบายแบบเดียวกัน โดยเปิดให้ผู้ใช้ Google Cloud Storage ส่งฮาร์ดดิสก์เข้าไปที่กูเกิลเพื่ออัพโหลดไฟล์ได้แล้ว อัตราค่าใช้จ่ายคิด 80 ดอลลาร์ต่อฮาร์ดดิสก์หนึ่งตัว (ขนาดเท่าไรก็ได้) แต่ในเบื้องต้นยังจำกัดการส่งฮาร์ดดิสก์คืนเฉพาะในสหรัฐเท่านั้น (แปลว่าส่งฮาร์ดดิสก์ข้ามประเทศไปอัพที่กูเกิลได้ ถ้ามีที่อยู่ในสหรัฐรอรับฮาร์ดดิสก์กลับ)

Seagate เปิดตัว Desktop HDD ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5" สำหรับเดสก์ท็อปและสตอเรจแบบ NAS

ถึงแม้จะไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ 4TB ตัวแรกของตลาด แต่มันก็เป็นฮาร์ดดิสก์ 4TB ที่ใช้จานเก็บข้อมูล (platter) ขนาด 1TB (วางเรียงกัน 4 ชั้น) เป็นรายแรก ความสามารถอย่างอื่นคือแคช 64MB, รองรับ SATA3, ทำงานที่ 5,900 rpm ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าการหมุนที่ 7,200 rpm อยู่ 35%, มีซอฟต์แวร์ DiskWizard ช่วยให้ Windows XP เห็นความจุได้เต็มจำนวน (ต้องใช้คู่กับ UEFI ด้วย) ราคาขายตกตัวละ 190 ดอลลาร์

หลังจาก Seagate ยกเลิกการผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM สำหรับโน้ตบุ๊กไปแล้ว ก็เปิดตัวฮาร์ดดิสก์รุ่นไฮบริดที่มี SSD ผสมกับฮาร์ดิสก์ในราคาเริ่มต้น 79 ดอลลาร์ตามมาแทบจะทันที

ฮาร์ดดิสก์ชุดนี้เป็นการรีแบรนด์มาจากฮาร์ดดิสก์ตระกูล Momentus XT แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นฮาร์ดดิสก์ตระกูล SSHD (Solid State Hard Drive) ทุกรุ่นมี SSD ทำหน้าที่เป็นแคชภายในอยู่ 8GB

SSHD มีทั้งรุ่นเดสก์ทอปและโน้ตบุ๊ก รุ่นโน้ตบุ๊ก 500GB ราคา 79 ดอลลาร์ 1TB ราคา 99 ดอลลาร์ รุ่นเดสก์ทอป 1TB ราคา 99 ดอลลาร์ รุ่น 2TB ราคา 149 ดอลลาร์

ฮาร์ดดิสก์ความเร็วสูงที่หมุนด้วยความเร็ว 7200 RPM เคยเป็นฮาร์ดดิสก์สำหรับโน้ตบุ๊กชั้นสูงที่สามารถจ่ายเพิ่มเพื่อความเร็วได้ แต่ทุกวันนี้ตลาดโน้ตบุ๊กราคาแพงกลับถูกครองด้วย SSD ไปจนหมด ทำให้ Seagate ออกมาประกาศเลิกสายการผลิตนี้ไป

Seagate ระบุว่าเทคโนโลยีการใช้ SSD ร่วมกับฮาร์ดดิสก์ หรือที่เรียกว่า Solid State Hybrid Drives (SSHD) นั้นให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่าฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM

ฮาร์ดดิสก์แบบ 7200 RPM ขนาด 2.5 นิ้วล็อตสุดท้ายในสายการผลิตจะส่งมอบช่วงกลางฤดูร้อนนี้

ที่มา - X-bit labs

IHS iSuppli ออกมาประเมินยอดขายส่งฮาร์ดดิสก์ตลอดทั้งปี 2012 อยู่ที่ 524 ล้านตัว โตขึ้น 4.3% จาก 502.5 ล้านตัวในปีที่แล้ว (นับเฉพาะฮาร์ดดิสก์พีซี-เดสก์ท็อป-โน้ตบุ๊ก ไม่นับเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจ)

ตัวเลข 524 ล้านถือว่าทำลายสถิติยอดขายฮาร์ดดิสก์ในอดีต แต่ IHS ก็ระบุว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จนไปถึง 575.1 ล้านตัวในปี 2016

IHS ให้ข้อมูลว่ายอดขายฮาร์ดดิสก์ที่เติบโตเป็นผลมาจากตลาดผู้ใช้พีซีที่ต้องการเก็บข้อมูลมากขึ้น (เป็นผลมาจากการบูมของสื่อแบบดาวน์โหลดอีกทีหนึ่ง) และผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์เองก็แก้ปัญหาของขาดจากน้ำท่วมในประเทศไทยปี 2011 ได้แล้ว สุดท้ายยังมี Windows 8 ที่จะออกมากระตุ้นตลาดอัลตร้าบุ๊กช่วงท้ายปีด้วย

บริษัท HGST (Hitachi Global Storage Technology) ที่รู้จักดีในฐานะอดีตบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อ Hitachi ซึ่งถูกซื้อโดย Western Digital ไปเมื่อปีก่อน ออกมาประกาศความสำเร็จในการพัฒนาฮาร์ดดิสก์บรรจุก๊าซฮีเลียมในเชิงพาณิชย์เป็นรายแรกของโลก

ด้วยขนาดของโน้ตบุ๊กที่นับวันยิ่งบางลงเรื่อยๆ อุปกรณ์ภายในก็ต้องบางตาม และเป็น WD ที่ชิงเปิดตัวฮาร์ดดิสก์ ขนาด 2.5" รุ่นใหม่ที่ขยับความบางลงไปที่ 5 มม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

WD บอกว่าฮาร์ดดิสก์ 5 มม. ความจุอยู่ที่ 500GB และบางพอที่จะใส่ได้กับโน้ตบุ๊กบางสุดในตลาดปัจจุบัน (น่าจะหมายถึงอัลตร้าบุ๊กด้วย)

WD ประกาศคู่ค้าสองรายที่จะใช้ฮาร์ดดิสก์บางตัวใหม่นี้แล้วคือ Acer และ ASUS แต่ยังไม่ได้ระบุเวลาคร่าวๆ ของโน้ตบุ๊กตัวใหม่ที่จะออกมาพร้อมกับฮาร์ดดิสก์ตัวนี้ครับ

ที่มา - Engadget

หลังจากที่ได้ประกาศซื้อ LaCie ไปเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา วันนี้กระบวนการเข้าซื้อ LaCie ของ Seagate ได้เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในขณะนี้ Seagate ถือหุ้นของบริษัท LaCie อยู่ 65% ซึ่งมากพอที่จะควบคุมบริษัทได้แล้ว และในอีก 6 เดือนข้างหน้านั้นก็จะถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 95%

เราเคยเสนอข่าวว่าราคาฮาร์ดดิสก์จะปรับลงช้าๆ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในไทยที่ส่งผลให้กำลังการผลิตในโลกลดลงอย่างมาก คราวนี้ Fang Zhang นักวิเคราะห์จาก IHS iSuppli ได้ประเมินสถานการณ์ว่ากำลังการผลิตฮาร์ดดิสก์จะกลับมาเป็นปกติเหมือนช่วงก่อนน้ำท่วมได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ถึงตอนนั้นราคาฮาร์ดดิสก์โดยเฉลี่ยก็จะไม่ปรับลดลง เนื่องจากตลาดฮาร์ดดิสก์ตอนนี้ก็อยู่ในภาวะกึ่งผูกขาด ตั้งแต่เกิดการควบรวมของซีเกทกับซัมซุง และ Western Digital กับ Hitachi GST ทำให้ผู้ผลิตสองรายใหญ่นี้ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 85% จึงมีอำนาจพอที่จะควบคุมราคาฮาร์ดดิสก์ไม่ให้ปรับ

ในโลกอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอก หลายคนน่าจะได้เห็น LaCie ที่เป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ภายนอกที่เด่นๆ คือเป็นผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์แบบ Thunderbolt มารองรับกับเครื่อง Macbook Pro เป็นเจ้าแรกๆ วันนี้ซีเกตก็ประกาศเข้าซื้อหุ้นจากซีอีโอและกลุ่มของเขารวมเป็นหุ้น 64.5% ทำให้ซีเกตมีอำนาจครอบครองบริษัทได้ทันที ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือทางซีเกตจะตั้งรับซื้อหุ้นตามกระบวนการต่อไป

การซื้อครั้งนี้มีมูลค่า 186 ล้านดอลลาร์ โดยตัว LaCie เองมีเงินสดในบริษัท 65 ล้านดอลลาร์ หลังกระบวนการจบ Philippe Spruch ประธานและกรรมการผู้จัดการของ LaCie จะไปนั่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสินค้าคอนซูมเมอร์ของซีเกต

เคยมีคำถามกันใน Blognone ว่าเราสามารถใช้แม่เหล็กแรงๆ มาทำลายข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ให้สิ้นซากได้หรือไม่ คำถามนี้ได้คำตอบแล้วเมื่อมีบริษัทในญี่ปุ่นชื่อว่า Platform of Japan ออกแบบเครื่องลบฮาร์ดดิสก์แบบเร็วในชื่อว่า Data Killer มาแสดงในงาน Information Security Expo

เครื่อง Data Kill จะใส่สนามแม่เหล็กทางเดียวกันที่ความเข้มข้นสูงมากๆ ลงไปยังฮาร์ดดิสก์ ทำให้แม่เหล็กในจานกลับขั้วไปทางเดียวกันทั้งหมด ทำให้ข้อมูลหายไปในเวลาสั้นๆ ข้อดีของเครื่องนี้คือมันสามารถทำลายข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และฮาร์ดดิสก์หรือเทปแม่เหล็กที่นำเข้าเครื่องนี้ก็ยังสามารถในมาใช้งานต่อไปได้

ยังไม่มีขายนอกญี่ปุ่น

ที่มา - DigInfo TV

Seagate ออกมาแถลงข่าวถึงเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็กชนิดใหม่ ที่เรียกว่า heat-assisted magnetic recording หรือ HAMR ช่วยให้จัดเก็บข้อมูลความจุมากขึ้นบนพื้นที่จานเท่าเดิม

เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลบนดิสก์ในปัจจุบันเรียกว่า Perpendicular Magnetic Recording (PMR) เริ่มใช้งานเมื่อปี 2006 และมีขีดจำกัดสูงสุดของความจุต่อฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วมาตรฐานที่ประมาณ 3TB ต่อจาน (ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์โน้ตบุ๊กขนาด 2.5 นิ้วอยู่ที่ 750GB) และถ้าวัดเป็นความจุต่อพื้นที่คือ 620 กิกะบิต (Gb) ต่อตารางนิ้ว

การเพิ่มเทคโนโลยี HAMR เข้ามาช่วย จะช่วยเพิ่มความจุต่อพื้นที่เป็น 1 เทระบิต (Tb) ต่อตารางนิ้ว คิดเป็นการใช้งานจริงคือ 6TB บนดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว และ 2TB สำหรับดิสก์ 2.5 นิ้ว

ตอนที่แอปเปิลเริ่มใช้งาน Thunderbolt ใหม่ๆ ยังมีแค่ Lacie ที่ผลิตไดร์ฟภายนอกออกมารองรับ แต่ตอนนี้ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็เริ่มเข้ามาในตลาดนี้ เริ่มจาก Western Digital ที่ปล่อย My Book Thunderbolt Duo ขนาด 6TB

ภายในมีดิสก์สองลูก สามารถเลือกได้ว่าจะทำ RAID 0 หรือ 1 แล้วแต่ความต้องการขนาดพื้นที่กับความมั่นใจ ส่วนราคา 699 ยูโร หรือ 28,000 บาท งานนี้ต้องเงินถุงเงินถังกันสักหน่อย แลกกับความแรง

ที่มา - The Register