ตอนนี้เรารู้สเปกของ Xbox Series X อย่างละเอียดกันแล้ว ข้อมูลสำคัญที่เหลืออยู่คงมีแค่วันวางขายและราคา

เว็บเกม IGN ลองประเมินต้นทุนฮาร์ดแวร์ของ Xbox Series X จากชิ้นส่วนที่เปิดเผยออกมา เทียบเคียงกับราคาฮาร์ดแวร์ใกล้เคียงกันในตลาด พบว่าต้นทุนโดยรวมพุ่งทะลุเกิน 1,000 ดอลลาร์ไปแล้ว (แค่ซีพียูราว 300 ดอลลาร์, จีพียู 400 ดอลลาร์ ยังไม่รวมค่าเมนบอร์ด พาวเวอร์ซัพพลาย และชิ้นส่วนอื่นๆ)

IGN ระบุว่าไมโครซอฟท์สั่งซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก ย่อมได้ราคาต้นทุนถูกกว่า และการใช้ชิ้นส่วนคัสตอมก็ช่วยลดต้นทุนของสิ่งที่ไม่จำเป็นไปได้มาก แต่จากต้นทุนที่แพงขนาดนี้ การตั้งราคาที่ 600 ดอลลาร์ก็เริ่มเป็นไปได้แล้ว ถือว่าท้าทายเมื่อกำแพงราคาของคอนโซลอยู่ที่ 399-499 ดอลลาร์เท่านั้น (คอนโซลที่เปิดตัวแพงที่สุดคือ PS3 ที่ 599 ดอลลาร์)

หลังจากทยอยปล่อยข้อมูลตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยมานาน ในที่สุดไมโครซอฟท์เผยสเปกละเอียดของ Xbox Series X อย่างเป็นทางการ

ต่อยอดอีกสักเล็กน้อยจากบทความ Cloud Gaming แพลตฟอร์มเกมยุคหน้าที่อาจทำให้ไมโครซอฟท์กลับมาครองตลาดเกม โดยใจความสำคัญของบทความดังกล่าวคือการชี้ว่าในยุค Cloud Gaming ที่น่าจะเป็นยุคหลังคอนโซลรุ่นถัดไป ไมโครซอฟท์มีภาษีในอุตสาหกรรมเกมดีกว่าโซนีที่ครองตลาดอยู่ตอนนี้และ Stadia ที่เป็นผู้เปิดศักราช Cloud Gaming

ปี 2019 ที่ผ่านมาอาจเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการเกม จากการเปิดตัวแพลตฟอร์มการให้บริการเกมผ่านคลาวด์ Stadia ของกูเกิลและ Project xCloud ของไมโครซอฟท์ ในเวลาไล่เลี่ยกัน

อันที่จริงแนวคิดของ Stadia หรือ xCloud ไม่ใช่ของใหม่ เพราะโซนี่่เองก็มีบริการลักษณะเดียวกันมาสักพักแล้ว แต่การมาถึงของ Stadia และ xCloud สร้างแรงกระเพื่อมในวงการเกมและทำให้ Cloud Gaming ถูกพูดถึงมากขึ้นมาก

หากมองในระยะยาวที่ Cloud Gaming อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มเล่นเกมในยุคหลังคอนโซล กลับเป็นไมโครซอฟท์ที่มีความได้เปรียบที่สุดในตอนนี้

บทความนี้จะพาไปสำรวจสถานการณ์ Cloud Gaming พร้อมกับการมองอนาคตว่าทำไมไมโครซอฟท์ถึงกุมความได้เปรียบเอาไว้ตั้งแต่วันนี้แล้ว

Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ที่รับผิดชอบงานด้านเกมมิ่งทั้งหมดของไมโครซอฟท์ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ไอทีแห่งใหม่ Protocol พยากรณ์วงการเกมปี 2020

ประเด็นที่น่าสนใจคือ Phil Spencer มองว่า โซนี่และนินเทนโดไม่ใช่คู่แข่งสำคัญของไมโครซอฟท์อีกต่อไปแล้ว เหตุเพราะทั้งสองบริษัทไม่มีคลาวด์ระดับโลกแบบเดียวกับ Azure ซึ่งไมโครซอฟท์มองว่าคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคตจะกลายเป็นกูเกิลและอเมซอนแทน

ไมโครซอฟท์เปิดโครงการ Xbox Bug Bounty โดยจะเน้นไปที่ช่องโหว่บนเครือข่ายและบริการของ Xbox Live โดยเงินรางวัลจะจ่ายให้ตามความรุนแรงของช่องโหว่ตั้งแต่ 500 เหรียญไปจนถึงสูงสุดอย่างช่องโหว่รันโค้ดทางไกลระดับร้ายแรงที่ 20,000 เหรียญ

ไมโครซอฟท์ระบุไว้ด้วยว่าช่องโหว่หรือปัญหาที่ไม่เข้าข่ายรับเงินรางวัล อาทิ DDoS, CSRF ที่ผลกระทบต่ำ หรือ URL Redirects เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดและช่องทางการรายงานช่องโหว่ได้ที่นี่

ที่มา - Microsoft

ตัวแทนของไมโครซอฟท์ให้ข้อมูลกับเว็บไซต์ Business Insider ว่าชื่อคอนโซลรุ่นใหม่ Xbox Series X ที่เพิ่งเปิดตัว ชื่อของมันจริงๆ คือ Xbox เท่านั้น ไม่มีสร้อยอื่นใดต่อท้าย

ไมโครซอฟท์ระบุว่าสิ่งที่ไมโครซอฟท์ส่งต่อจากยุค Xbox One มาสู่ยุคใหม่มีเพียงแบรนด์ "Xbox" เท่านั้น ส่วนคำว่า "Series X" เป็นคำขยาย ซึ่งไมโครซอฟท์ยอมรับว่าการตั้งชื่อแบบนี้ เปิดโอกาสให้มีคอนโซลซีรีส์อื่นๆ ตามมาในอนาคต (อย่างที่เราคาดกันว่าจะมี Xbox Series S รุ่นราคาถูก โค้ดเนม Lockhart)

Gamespot มีบทสัมภาษณ์ Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ของไมโครซอฟท์ ถึงรายละเอียดของคอนโซล Xbox Series X ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อวานนี้

ข้อมูลที่น่าสนใจจากบทสัมภาษณ์

ไมโครซอฟท์เปิดตัวเกมที่สองที่จะทำลง Xbox Series X (เกมแรกคือ Halo Infinite ที่เปิดตัวไปก่อนแล้ว) คือเกม Senua’s Saga: Hellblade II

Senua's Saga: Hellblade II เป็นภาคต่อของเกม Hellblade: Senua’s Sacrifice ที่ออกในปี 2017 และเป็นผลงานของสตูดิโอ Ninja Theory จากอังกฤษที่ไมโครซอฟท์ซื้อกิจการมาในปี 2018 (ผลงานสร้างชื่อของสตูดิโอนี้คือ DmC: Devil May Cry)

ในเทรลเลอร์เปิดตัว ไมโครซอฟท์ระบุว่าภาพที่เห็นเป็นการเรนเดอร์แบบเรียลไทม์ทั้งหมดบน Xbox Series X เพื่อแสดงให้เห็นแสนยานุภาพของฮาร์ดแวร์นั่นเอง (คำเตือน: ภาพในเทรลเลอร์อาจโหดๆ อยู่บ้าง)

ไมโครซอฟท์ใช้เวทีงาน The Game Awards 2019 เปิดตัวคอนโซลรุ่นใหม่ที่เรารู้จักกันในชื่อ Project Scarlett โดยใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Xbox Series X

หน้าตาของ Xbox Series X เปลี่ยนมาใช้ทรงทาวเวอร์แนวตั้ง สีดำสนิท มีช่องใส่แผ่นด้านหน้าวางในแนวตั้งเช่นกัน ฝาปิดข้างบนเป็นช่องระบายอากาศ ไมโครซอฟท์อธิบายว่าใช้แนวทางดีไซน์แบบนี้เพื่อให้อัดสมรรถนะเพิ่มขึ้นได้ 4 เท่าจาก Xbox One X (แต่ยังไม่ประกาศสเปกเครื่องอย่างละเอียด) โดยที่ยังความเงียบเอาไว้ได้ และถึงแม้ดีไซน์เครื่องมาในแนวตั้ง แต่ก็สามารถวางใช้งานได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือกันว่า ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนาคอนโซล Xbox รุ่นหน้าโค้ดเนม Scarlett อยู่ 2 รุ่นย่อย คือ "Anaconda" ตัวแรง และ "Lockhart" รุ่นราคาถูก+ไร้ช่องใส่แผ่นดิสก์ ซึ่งไมโครซอฟท์เคยออกมาปฏิเสธข่าวนี้ไปแล้วรอบหนึ่ง บอกแค่ว่าทำ Scarlett เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น

ล่าสุดเว็บไซต์ Kotaku อ้างแหล่งข่าววงในถึง 4 ราย ระบุว่าโครงการ Lockhart ยังไม่ตาย โดยไมโครซอฟท์ยังพัฒนามันอยู่เพื่อเป็น Scarlett รุ่นราคาถูก และเน้นการเล่นเกมแบบดิจิทัลอย่างเดียว เหมือนกับ Xbox One S All-Digital Edition ในปัจจุบัน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Xbox One เป็นรอง PS4 ในสงครามคอนโซลยุคนี้คือ การขาดแคลนเกม first party ที่เป็นจุดดึงดูดของแพลตฟอร์ม

ไมโครซอฟท์เองก็ทราบปัญหานี้ดี และพยายามแก้เกมด้วยการไล่ซื้อสตูดิโอเกมจำนวนมากมาอยู่ใต้ร่มของ Xbox Game Studios โดยปัจจุบันมีสตูดิโอในสังกัด 15 แห่งแล้ว

ล่าสุด Matt Booty หัวหน้าทีม Xbox Game Studios ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ GameRadar ระบุว่าในยุคของ Xbox Scarlett เขามีแผนจะออกเกมใหม่ให้ได้ทุก 3-4 เดือน ซึ่งด้วยพลังของสตูดิโอทั้ง 15 แห่งก็ทำให้เขามั่นใจว่าสามารถเดินหน้าตามแผนนี้ได้

Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตของอุปกรณ์แนว VR กับคอนโซล Xbox Scarlett ว่าคงไม่มีให้เห็น เพราะไม่มีลูกค้าคนไหนเรียกร้องมาเลย

Spencer บอกว่าไมโครซอฟท์ฟังเสียงลูกค้าเพื่อพิจารณาว่าจะใส่ฟีเจอร์ใดเข้ามา ซึ่งไม่มีลูกค้าคนใดเรียกร้องให้ทำ VR บน Xbox และเขามองว่าลูกค้าของไมโครซอฟท์ทราบดีว่า หากต้องการเล่นเกม VR ก็ไปเล่นบนพีซีจะดีกว่า

ที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ไม่เคยสนใจทำ VR บนแพลตฟอร์ม Xbox เลย แม้คู่แข่งอย่าง Sony มีแว่น PlayStation VR และขายได้เป็นจำนวนหลักล้านชุดก็ตาม (บาดแผลจาก Kinect น่าจะยังเจ็บปวดอยู่)

Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ของไมโครซอฟท์ ให้สัมภาษณ์กับ The Verge ย้ำว่าคอนโซลรุ่นถัดไป Project Scarlett จะไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดเดิมของ Xbox One ในช่วงเปิดตัวเมื่อปี 2013 อีก

Xbox One ช่วงเปิดตัวมีปัญหามากมาย ทั้งประเด็นเรื่องราคาแพงกว่า PS4 ถึง 100 ดอลลาร์เพราะบังคับขายพ่วง Kinect, การเน้นไปที่ฟีเจอร์ความบันเทิงมากกว่าเล่นเกม, สเปกฮาร์ดแวร์ที่ด้อยกว่า PS4 เล็กน้อย, นโยบายบังคับต่อเน็ตและล็อคการใช้แผ่นเกมไม่ให้ขายมือสอง ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกมเมอร์จำนวนมากหันหลังให้ Xbox One และไปซื้อ PS4 แทน แม้ช่วงหลังไมโครซอฟท์แก้เกม ปรับเปลี่ยนนโยบายหลายอย่าง แต่ก็เสียโมเมนตัมไปแล้ว

Spencer บอกว่าทีมงานของเขาจำบทเรียนเหล่านี้ได้ขึ้นใจ และจะไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกใน Scarlett

คู่แข่งอย่าง Google Stadia จะเริ่มให้บริการวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ฝั่งของ Microsoft xCloud ก็ไม่น้อยหน้า ประกาศข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้

ข่าวดีสำหรับเกมเมอร์ที่ชื่นชอบการวัดประสิทธิภาพเครื่องพีซี เมื่อไมโครซอฟท์ออกอัพเดตเพิ่มตัวนับเฟรมเรตให้กับ Xbox Game bar บน Windows 10 ทำให้ผู้ที่ต้องการตรวจสอบประสิทธิภาพของเกมผ่านการวัดอัตราเฟรมเรต (frames per second - FPS) ที่เครื่องพีซีสามารถเรนเดอร์ได้ ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเฉพาะทางเพิ่มเพื่อแสดงผลตัวนับเฟรมเรตระหว่างเล่นเกมอีกต่อไป

ไมโครซอฟท์เปิดทดสอบบริการเกมสตรีมมิ่ง Project xCloud ตามสัญญา โดยยังจำกัดแค่ 3 ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้

ส่วนเกมที่เปิดให้ทดสอบยังมีแค่ 4 เกมคือ Halo 5, Gears 5, Killer Instinct, Sea of Thieves และยังจำกัดเฉพาะอุปกรณ์ Android เท่านั้น

หลังจากเปิดตัว Project xCloud มาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 ไมโครซอฟท์ก็ประกาศเปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วมทดสอบ xCloud เป็นครั้งแรก (public preview) ในเดือนตุลาคม 2019 โดยยังจำกัดแค่ 3 ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเกาหลีใต้

การทดสอบต้องลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บไซต์ Xbox Game Streaming (เป็นไปได้ว่าอาจใช้ชื่อนี้ทำตลาด) และไมโครซอฟท์จะทยอยส่งคำเชิญให้ผู้เล่นเป็นชุดๆ ไป เริ่มจากชุดแรกเป็นจำนวนไม่มากนัก แล้วค่อยขยายจำนวนขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อทดสอบขีดความสามารถของไมโครซอฟท์ในการรองรับผู้เล่นจำนวนมาก

อีกหนึ่งข้อมูลสำคัญในบทสัมภาษณ์ของ Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox คือการสยบข่าวลือว่า ไมโครซอฟท์จะทำคอนโซลอีกตัวนอกเหนือจาก Project Scarlett

ข่าวนี้เกิดขึ้นเพราะ Project xCloud บริการเกมสตรีมมิ่งของไมโครซอฟท์ และ Xbox One S รุ่นไร้แผ่นดิสก์ ทำให้เกิดการคาดเดากันว่า ไมโครซอฟท์จะทำฮาร์ดแวร์คอนโซลที่เล่นได้เฉพาะเกมจาก xCloud เพียงอย่างเดียว (เหมือน Xbox One S รุ่นไร้แผ่น แต่เป็นสตรีมมิ่งเลย ไม่ต้องดาวน์โหลดก่อน)

Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Gamespot โดยเผยรายละเอียดของ Xbox รุ่นหน้า โค้ดเนม Scarlett ออกมาอีกเล็กน้อย

เขาบอกว่าสิ่งที่ไมโครซอฟท์จะโฟกัสมี 2 เรื่อง คือ เฟรมเรต และการ "เล่นได้" (playability) โดยเกมจะต้องโหลดเร็ว (Scarlett จะใช้ SSD) และต้องมีเฟรมเรตสูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เขาบอกว่าไมโครซอฟท์ได้เปรียบที่ทำ Windows ด้วย เลยเห็นความพยายามของนักพัฒนาเกมในฝั่งพีซี ดังนั้นเป้าหมายของ Scarlett คือต้องการันตี 4K 60 FPS ให้ได้

ส่วนคำว่า playability เขาขยายความว่าเกมต้องโหลดเร็ว ต้องเข้าเกมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขณะเล่นเกมจะต้องให้ความรู้สึกที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

เราเริ่มเห็นข่าวลือของ Xbox Scarlett มาตั้งแต่กลางปี 2018 โดยลือกันว่า Scarlett มี 2 รุ่นย่อย

ปีนี้ ไมโครซอฟท์เปิดตัว Project Scarlett อย่างเป็นทางการ ก็มีข่าวลือตามมาว่า Scarlett จะเหลือฮาร์ดแวร์เพียงตัวเดียวคือฮาร์ดแวร์รุ่นบน (โค้ดเนม Anaconda) ส่วนฮาร์ดแวร์รุ่นล่าง (โค้ดเนม Lockhart) ถูกยกเลิกไปแล้ว

ทิศทางของวงการเกมในช่วงหลังเริ่มเห็นชัดว่ามีบริการเกมสตรีมมิ่งเข้ามา ทั้ง Google Stadia, Microsoft xCloud รวมถึงเจ้าเก่าที่หลายคนอาจลืมไปแล้วคือ PlayStation Now ด้วย

การเกิดขึ้นของเกมสตรีมมิ่ง ก่อให้เกิดคำถามว่าเรายังจำเป็นต้องมีเครื่องเกมคอนโซลอีกหรือไม่ ในฝั่งของไมโครซอฟท์ที่เพิ่งเปิดตัว Project Scarlett ก็มีคำถามเช่นกันว่ามันจะกลายเป็นฮาร์ดแวร์ Xbox ตัวสุดท้ายหรือไม่

เรื่องนี้ Phil Spencer หัวหน้าทีม Xbox ให้สัมภาษณ์ โดยยืนยันว่า Scarlett จะไม่ใช่คอนโซลตัวสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะสเปกของฮาร์ดแวร์จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ในมุมของไมโครซอฟท์แล้ว การออก Scarlett เป็นการสะท้อน "จุดเปลี่ยน" ที่สำคัญของประสบการณ์ในการเล่นเกม

ผู้ที่เคยล็อกอินเข้าระบบ Xbox (แม้ไม่มีเครื่องคอนโซล Xbox ก็สามารถใช้ได้ผ่านแอพ Xbox ของ Windows 10) คงทราบกันดีว่ามันมีระบบตั้งชื่อบัญชีที่เรียกว่า Gamertag ซึ่งมีข้อจำกัดในการตั้งชื่ออยู่พอสมควร โดยเฉพาะการห้ามตั้งชื่อซ้ำกัน

แต่ด้วยอิทธิพลของแอพแชทสำหรับเกมเมอร์อย่าง Discord ที่อนุญาตให้ตั้งชื่อผู้ใช้ซ้ำกัน โดยจะมีตัวเลขห้อยท้ายหลังสัญลักษณ์ # ก็กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของวงการเกม (เช่น Blognone#1048) จนทำให้ไมโครซอฟท์ต้องยอมอนุญาตให้ตั้งชื่อ Gamertag แบบมีตัวเลขห้อยท้ายเหมือนกันแล้ว ส่วนผู้ใช้เดิมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนชื่อ Gamertag ก็สามารถใช้ชื่อของตัวเองได้ตามปกติ โดยไม่มีตัวเลขห้อยท้ายชื่อด้วย

ไมโครซอฟท์มีโครงการ Backward Compatibility นำเกมจาก Xbox 360 มาให้เล่นกันบน Xbox One ตั้งแต่ปี 2015 และเกมจาก Xbox Original รุ่นแรก ตั้งแต่ปี 2017

ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศยุติโครงการ Backward Compatibility แล้ว (เกมสำคัญๆ ของ 2 เจนแรกก็พอร์ตมาเกือบครบแล้ว) โดยประกาศเกมชุดสุดท้ายของโครงการ Backward Compatibility ดังนี้

Original Xbox

ในงาน E3 ปี 2015 ไมโครซอฟท์เปิดตัวจอยเกรดพรีเมียม Xbox Wireless Elite Controller และประสบความสำเร็จไม่น้อย เวลาผ่านมา 4 ปีเต็ม ก็ได้เวลาของจอยเวอร์ชันอัพเกรด Xbox Elite Wireless Controller Series 2

ฟีเจอร์ใหม่ในจอย Elite Series 2 คือตัวก้านโยก thumbstick สามารถปรับแรงต้านได้ 3 ระดับ, ตัว trigger สามารถล็อคระดับของความลึกในการกดได้, ตั้ง profile ของจอยได้ 3 แบบ และสลับไปมาได้ทันทีโดยกดที่ปุ่ม Profile จากตัวจอยโดยตรง, สามารถปรับแต่งปุ่มได้จากแอพ รวมถึงปรับแต่งคำสั่งเสียงได้เองด้วย