Yandex เว็บค้นหาชื่อดังของรัสเซีย ประกาศความร่วมมือกับ Twitter โดย Yandex จะนำข้อมูลสาธารณะทั้งหมดจาก Twitter เข้าไปเก็บเป็นดัชนีผลการค้นหา
ข้อความทวีตที่เก็บจะแบ่งเป็น "เก็บทั้งหมด" ถ้าเป็นภาษารัสเซีย ยูเครน เบลารุส คาซัคสถาน ส่วนข้อความในภาษาอื่นๆ จะเก็บเฉพาะข้อความยอดนิยมเท่านั้น
ผู้ใช้ Yandex สามารถค้นข้อมูลจาก Twitter ได้สองทาง คือ จาก Yandex Blog Search หรือเข้าไปที่ twitter.yandex.ru
ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการก้าวล้ำกูเกิล (ซึ่งในรัสเซียยังสู้ Yandex ไม่ได้) ที่ยังไม่สามารถยุติสัญญากับ Twitter ได้ แต่ก็เป็นสิ่งยืนยันให้กับเหตุผลของฝ่ายกูเกิลว่า "ต้องเซ็นสัญญากับ Twitter ก่อน" เช่นกัน (ทั้ง Yandex/Twitter ไม่เปิดเผยข้อมูลว่ามูลค่าข้อตกลงเท่าไร)
Google Latitude บริการระบุพิกัดระหว่างเรากับเพื่อนๆ ที่แถมมากับ Google Maps เพิ่งมีความสามารถ "เช็คอิน" ตามสถานที่ต่างๆ เมื่อต้นปีที่แล้ว (แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก)
ไมโครซอฟท์เปิดเว็บใหม่ในเครือ MSN ชื่อ msnNOW หน้าที่ของมันจะไปตามแกะรอยโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ แล้วบอกเราว่าเรื่องใดบ้างกำลังร้อนแรงอยู่ในขณะนั้น
ตามข้อมูลของไมโครซอฟท์บอกว่า msnNOW จะอ่านข้อมูลจาก Twitter, Facebook, Bing (ข้อมูลคำค้น), YouTube และ BreakingNews.com แล้วนำมาผ่านเอนจินชื่อ Demand Dashboard คำนวณหาเทรนด์ในแต่ละหมวดหมู่ เช่น ข่าวดารา กีฬา ไลฟ์สไตล์ เป็นต้น
ข้อมูลเทรนด์ฮิตใน msnNow ยังสามารถดูได้ผ่าน mobile web, Facebook App, Twitter รวมถึงแสดงบนหน้าแรกของ MSN ด้วย
บริษัท BrightEdge รายงานว่า ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน จำนวนผู้ตาม (followers) ของแบรนด์ต่างๆ บน Google+ ได้เพิ่มขึ้นถึง 1400% โดยวัดจาก 100 แบรนด์ที่มีผู้ตามสูงสุด ซึ่งในรายงานได้กล่าวไว้ว่า จำนวนผู้ตามได้เพิ่มขึ้นจาก 220,000 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เป็น 3,100,000 ในเดือนนี้ โดยแบรนด์ที่มีผู้ตามมากที่สุดคือ H&M ที่มีผู้ตามสูงถึง 462,000 ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ตามของ 100 แบรนด์รวมกันในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ในรายงานยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า อัตราการขยายมีมากสุดใน 10 อันดับแรก โดยที่ 1 ถึง 10 มีผู้ตามมากกว่าที่ 11 ถึง 100 กว่า 10 เท่า นอกจากนี้รายงานยังระบุไว้ด้วยว่า แบรนด์ใหญ่ๆ บางแบรนด์อย่าง Goldman Sachs Microsoft และ Apple ไม่มีหน้า Google+ Page เป็
YouTube เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกชุดใหญ่ ดังนี้
ที่มา - YouTube Blog
สองข่าวแผนงานของ Facebook ที่กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้
ข่าวแรกคือผู้ใช้ Facebook ที่มีคนมาติดตาม (subscribe) เป็นจำนวนมาก จะได้รับแจ้งให้ยืนยันตัวตน (verify account) โดยส่งภาพบัตรประจำตัวที่มีภาพถ่ายไปยัง Facebook ให้ทีมงานตรวจสอบ และเราจะได้บัญชีแบบยืนยันว่าเป็นบุคคลจริงเป็นการตอบแทน
แนวคิดเรื่อง verified account ของ Facebook คงไม่ต่างอะไรจาก Twitter/Google+ โดยบังคับให้แสดงชื่อจริง แต่ก็เพิ่มทางเลือกสำหรับชื่ออื่นๆ ได้ด้วย - TechCrunch
ในคืนที่ผ่านมากูเกิลได้แถลงผ่านทวิตเตอร์เกี่ยวกับโครงการ Hangout On Air ครั้งที่ 1 อันเป็นความร่วมมือของ CERN และกูเกิลโดยมีนักวิทยาศาสตร์และบุคคลระดับโฆษกของโครงการมาเป็นผู้ตอบคำถามสดๆ ในเพจ Google+ ของโครงการผ่าน Google+ Hangout จากห้องทดลองใต้ดินในส่วนของ CMS ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในคำถามคงหนีไม่พ้นเรื่องของอนุภาค Higgs Boson ที่ยังคงเป็นที่กังขา
Myspace อดีตราชาแห่งโลก social network ในยุคแรกๆ ทะยานขึ้นจุดสูงสุดในปี 2008 ด้วยยอดผู้เข้าชมเว็บ 75.9 ล้าน UIP ต่อเดือน แต่จากนั้นก็ดิ่งลงเหวเรื่อยๆ
Klout บริการช่วยผู้ใช้งานคำนวนความมีอิทธิพลในโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้เริ่มซื้อกิจการครั้งแรกหลังจากได้รับเงินลงทุนมูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้เข้าซื้อ Blockboard โมบายแอพที่ช่วยให้ผู้คนสามารถสื่อสารกับเพื่อนบ้านได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องโคมไฟแตกไปจนถึงเรื่องซุบซิบนินทา
จากความเดิมตอนที่แล้ว Facebook ได้บอกว่าจะนำเอาโฆษณาขึ้น News Feed และแล้ววันนี้ก็ถึงเวลานำไปใช้จริงแล้ว โดย Facebook จะดึงข้อมูลของ Open Graph ไปใช้ โดยไม่ว่าเราจะกดปุ่ม Listen, Read หรือ Watch ก็ล้วนขึ้นบน News Feed ที่เป็นโฆษณาของผู้ให้บริการปุ่มต่าง ๆ อย่างแน่นอน เช่น Spotify, MySpace เป็นต้น
ลูกสาวของคุณพ่อที่เป็นข่าวคนนี้ ได้ใช้ Facebook ของเธอในการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับความยากลำบากในบ้านของเธอ ที่จะต้องคอยทำงานบ้านต่างๆ เช่นการเก็บเตียง หรือทำความสะอาดบ้าน โดยเธอจะเขียนข้อความว่ากล่าวคนในครอบครัวของเธอเช่น "เธอไม่ใช่ทาสของคนในครอบครัว" หรือ "ถ้าอยากให้เธอทำงานบ้านให้ทั้งหมด ก็น่าจะจ่ายเงินให้เธอด้วย"
เมื่อคุณพ่อได้ไปเห็นโพสต์ต่างๆ นี้บน wall ของเธอตอนที่เขากำลังจะอัพเกรดซอฟต์แวร์ให้ เขาจึงไม่พอใจและพิมพ์ข้อความเหล่านี้มาอ่านและบันทึกวีดีโอขึ้นไว้บน YouTube ด้วย และหลังจากที่คุณพ่อได้ว่ากล่าวสั่งสอนลูกสาวของเขาจบแล้ว เขาก็ปิดวีดีโอนี้ด้วยการใช้ปืนพกขนาด .45 ยิงใส่แล็ปท็อปลูกสาวไป 9 นัดเต็มๆ แล้วบอกว่าถ้าอยากได้ใหม่ก็ให้ไปซื้อใช้เอง
ในตอนนี้ ถ้าเรากดลบรูปบน Facebook ไป รูปบางรูปจะไม่ถูกลบไปจริงๆ และยังสามารถเข้าถึงได้ถ้าเรามีลิงก์ไปถึงไฟล์รูปโดยตรง ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่อยู่กับ Facebook มาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วหลังจากถูกค้นพบเป็นครั้งแรก
ตอนนี้ทาง Facebook ได้ออกมายืนยันแล้วว่าจะแก้ปัญหานี้ให้ภายในเวลา 2 เดือน โดยจะย้ายไฟล์รูปภาพทั้งหมดไปไว้ในระบบจัดการเนื้อหาตัวใหม่และรูปทุกรูปที่ถูกลบบน Facebook จะถูกลบไปจริงๆ แล้ว
น่าตกใจเหมือนกันที่ social network ขนาดใหญ่อย่าง Facebook ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นปัญหายืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 3 ปี
Facebook จับมือกับบริษัทเอเยนซี่ดิจิทัล Definition 6 ออกเครื่องมือแนวทดลองชิ้นใหม่ ให้เราสามารถสร้างคลิปสั้นๆ จาก Timeline ของเราเองได้
วิธีการก็เข้าไปเล่นกันที่ Timeline Movie Maker โดยต้องอนุญาตให้แอพตัวนี้เข้าถึงข้อมูลบน news feed ของเราด้วยนะครับ
ผลที่ได้เราจะได้คลิปสั้นความยาว 1 นาที ย้อนอดีตที่เคยผ่านมา แอพตัวนี้จะคัดเลือกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเคยแชร์ลงใน Facebook ว่าเหตุการณ์ไหนที่น่าจะเป็นเหตุการณ์สำคัญ จากนั้นนำข้อมูลมาเรียงต่อๆ กัน และเลือกใส่เพลงเข้ามาได้ หนังที่ตัดเสร็จแล้วสามารถแชร์ลง Facebook ให้เพื่อนๆ ดูได้ด้วย
เว็บเครือข่ายสังคมที่ปัจจุบันไปเน้นความสำคัญที่บริการซื้อขายสินค้าออนไลน์อย่าง Multiply ประกาศว่าบริษัทเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่ไปอยู่ที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จากปัจจุบันที่อยู่ในเมือง Boca Raton รัฐฟลอริด้า เนื่องจากฐานผู้ใช้งานปัจจุบันของ Multiply ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตขึ้นอย่างมาก จึงมีความเหมาะสมมากกว่าที่จะย้ายสำนักงานไปอยู่ใกล้กับผู้ใช้งานให้มากขึ้น
ซีอีโอ Peter Pezaris กล่าวว่าปัจจุบัน Multiply มีผู้ให้บริการร้านค้าออนไลน์มากกว่า 100,000 รายแล้วซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทยและเวียดนาม ซึ่งอินโดนีเซียถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ของ Multiply
ข่าวใหญ่เมื่อประมาณสองสัปดาห์ก่อนคือการเปิดตัวฟีเจอร์ Search, plus Your World ของกูเกิล ซึ่งมันคือการพ่วงข้อมูลจาก Google+ เข้าไปในผลการค้นหาของกูเกิล (ตอนนี้ยังใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ในสหรัฐ)
ตัวแทนของ Facebook ให้ข้อมูลว่าอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า บริษัทจะบังคับให้ผู้ใช้ทุกคนต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบ Timeline ที่เปิดตัวมาก่อนนี้แล้ว
กระบวนการการเปลี่ยนเป็น Timeline จะยังเหมือนเดิมคือเมื่อกดเปลี่ยนแล้ว เราจะมีเวลา 7 วันรีวิวข้อมูลใน Timeline ก่อนจะแสดงให้คนอื่นๆ เห็น
ในกรณีที่เรามีโพสต์ใดๆ ที่ไม่อยากให้แสดงใน Timeline สามารถกดเปลี่ยนได้ โดยคลิกที่รูปดินสอตรงมุมขวาบนของแต่ละโพสต์ แล้วเลือก Hide from Timeline
หลังจากการเปลี่ยนแปลงรอบนี้เสร็จสิ้นแล้ว Facebook จะเริ่มใช้ Timeline สำหรับ Page ต่อไป
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ผู้บริหารของกูเกิลออกมายอมรับว่านโยบาย "บังคับใช้ชื่อจริง" ใน Google+ นั้นไม่เวิร์ค และสัญญาว่าจะปรับปรุงในเรื่องนี้ ข่าวเก่า วันนี้มันมาแล้วครับ
Jack Dorsey ประธานและหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งของ Twitter ไปพูดที่งาน Digital Life Design ที่เยอรมนี เขาเผยสถิติที่น่าสนใจว่ารูปแบบการโฆษณาอย่าง Promoted Tweet, Promoted Account และ
ทำเนียบขาวหรือทำเนียบประธานาธิบดีของสหรัฐ ใช้เครือข่ายสังคมต่างๆ ช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Facebook, LinkedIn (และเพิ่งเริ่มใช้ Foursquare เมื่อไม่นานมานี้)
ล่าสุดทำเนียบขาวยังเดินหน้าด้วยนโยบายเดิม โดยขยายช่องทางมายัง Google+ เรียบร้อยแล้ว
ในงานสัมมนา f8 ประจำปี 2011 เราได้เห็นข่าวการเปิดตัว "แอพ" แบบใหม่ของ Facebook ที่รองรับฟีเจอร์ Open Graph โดยแอพเหล่านี้จะแสดง "กริยา" ของเราในด้านต่างๆ เช่น "listen" กับ Spotify, "watch" กับ Netflix, "read" กับ Washington Post
Palo Alto Networks Inc. บริษัทวิจัยด้านความปลอดภัยได้เก็บสถิติของลูกค้ากว่า 1,600 ราย ระหว่างเดือนเมษายน-พฤศจิกายนปีที่แล้ว
ผลการศึกษาพบว่า
Google+ เพิ่มฟีเจอร์อีกชุดใหญ่ครับ รวมเป็นข่าวเดียวไม่ให้เปลืองที่
ผลการศึกษาคู่รักวัยรุ่นอเมริกันในปี 2011 ระบุว่ามีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตวัยรุ่นจำนวนถึง 30% ที่แชร์รหัสผ่านของตัวเองให้กับคู่รักหรือเพื่อนสนิท โดยถ้าแบ่งแยกตามเพศแล้ว ผู้หญิงจะมีสัดส่วนการแชร์มากกว่าผู้ชายที่ 38% และ 23% ตามลำดับ
นักวิชาการระบุว่าการแชร์รหัสผ่านกันและกันในคู่รักนี้มีเหตุผลมาจากต้องการสร้างความเชื่อใจและเพิ่มระดับความใกล้ชิด เช่นเดียวกับการมีเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้การศึกษายังพบว่า ในบางครั้งวัยรุ่นก็เอารหัสผ่าน Facebook ตัวเอง "ฝาก" ไว้กับเพื่อนสนิทหรือคู่รัก จนกว่าจะสอบเสร็จถึงจะมาขอคืน เพื่อบังคับตัวเองให้มีสมาธิกับการเรียน
กลุ่มตัวอย่างการศึกษานี้ทำกับวัยรุ่นอายุ 12-17 ปี จำนวน 770 คน
เรื่องนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับใครที่บริหารจัดการ Page ใน Facebook ครับ โดยบริษัท EdgeRank Checker ได้ทำการวิเคราะห์โพสต์มากกว่า 30,000 โพสต์จาก Facebook Page มากกว่า 500 Page โดย Page เหล่านี้มีคนกด like เฉลี่ย 140,000 ราย พบว่าอายุของโพสต์แต่ละอันนั้นมีค่าเฉลี่ย 3 ชั่วโมง 7 นาที ค่ามัธยฐาน 2 ชั่วโมง 56 นาที
อายุของโพสต์นั้นทาง EdgeRank ใช้วิธีการวัดจากการที่มีคนกด Like หรือแสดงความคิดเห็นนับจากเวลาที่โพสต์ โดยเมื่อพ้นไปจาก 3 ชั่วโมงแล้วการโต้ตอบจากผู้ชมจะเหลือน้อยลงไปมากจึงสรุปว่าโพสต์หมดอายุของมันนั่นเอง
Jake Brill ผู้บริหารของ Facebook จากทีม Site Integrity ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Business Insider เปิดเผยรายละเอียดด้านการรักษาความปลอดภัย และการต่อต้านสแปมของเว็บไซต์