ก่อนหน้านี้ Netflix ออกมาประกาศว่า ซีรีส์เรื่อง The Witcher ประสบความสำเร็จสูงสุดใน Netflix ล่าสุดมีการยืนยันเพิ่มเติมจาก Netflix ว่ากำลังอยู่ระหว่างสร้างหนังแอนิเมชั่นภาคแยกคือ The Witcher: Nightmare of the Wolf
บริการสตรีมมิ่ง Disney+ ประกาศบุกยุโรปอย่างเป็นทางการ โดยประเทศชุดแรกคือ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สเปน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ เริ่มวันที่ 24 มีนาคมนี้ ค่าบริการรายเดือน 5.99 ปอนด์ หรือ 6.99 ยูโร
การเปิดบริการในยุโรปตะวันตกมาเร็วกว่ากำหนดเดิม 1 สัปดาห์ และมีจำนวนประเทศมากกว่าที่ประกาศไว้ตอนแรก
ดิสนีย์ยังประกาศว่าจะขยายจำนวนประเทศอีกครั้งช่วงกลางปี 2020 โดยครอบคลุมเบลเยียม โปรตุเกส และประเทศกลุ่มนอร์ดิกด้วย
วันนี้เป็นวันแรกที่ Disney+ ให้บริการอย่างเป็นทางการวันแรกในสหรัฐและแคนาดา ผมอาศัยอยู่ในสหรัฐและทดลองใช้บริการไปบ้างแล้ว เลยนำมาฝากเล็กเป็นมินิรีวิวนี้
หน้าโฮมหน้าแรก จะคล้าย Netflix ตรงนี้เป็นแบนเนอร์ใหญ่โปรโมทคอนเทนท์ออนิจินัลที่เป็นเรือธงของ Disney+ แตกต่างตรงเพียงว่าเป็นภาพนิ่ง ไม่ใช่วิดีโอตัวอย่าง ตามมาแถบสตูดิโอของ Disney ให้ผู้ชมเลือกหมวดหมู่ได้ว่าจะค้นหาภาพยนตร์หรือซีรีส์จากค่ายไหน
หลังจากแอปเปิลประกาศว่าจะเปิดตัว Apple TV+ ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ในตอนนี้สามารถใช้งาน Apple TV+ ได้แล้ว ในราคาเดือนละ 99 บาท พร้อมสิทธิ์ทดลองใช้ฟรี 7 วัน ราคานี้เป็นราคาที่สามารถแชร์กับครอบครัวได้ถึง 6 คน
ใครที่ซื้อ iPhone, iPad, iPod touch, Mac หรือ Apple TV ใหม่ หลังจากวันที่ 10 กันยายนนี้ จะได้รับสิทธิ์ใช้ฟรีนาน 1 ปี และผู้ใช้บริการ Apple Music แบบราคานักศึกษา (เดือนละ 69 บาท) จะได้รับสิทธิ์ใช้งาน Apple TV+ ได้ฟรีจนกว่าจะยกเลิก Apple Music ไป
นอกจากการรับชม Apple TV+ บนอุปกรณ์ของแอปเปิล แอปเปิลยังระบุอีกว่าสามารถรับชมได้บนสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม สมาร์ททีวี ทีวีที่รองรับ AirPlay รวมถึงการรับชมบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย
เราเพิ่งเห็นข่าว Sony อยากขายธุรกิจดูทีวีออนไลน์ PlayStation Vue ล่าสุด Sony Interactive Entertainment ออกมาประกาศปิดบริการตัวนี้ในวันที่ 30 มกราคม 2020
Sony ให้เหตุผลว่าตลาดทีวีแบบเสียเงิน (pay tv) แข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้นทุนค่าไลเซนส์คอนเทนต์แพงขึ้นมาก บริษัทจึงตัดสินใจกลับมาโฟกัสที่เกมซึ่งเป็นธุรกิจหลัก แต่ก็ยืนยันว่า PS4 ยังมีความสำคัญในฐานะแพลตฟอร์มความบันเทิงขนาดใหญ่ที่มีฐานลูกค้ากว่า 100 ล้านราย และลูกค้า PS4 ยังดูหนังหรือรายการทีวีได้จากแอพของพาร์ทเนอร์รายอื่นๆ แทน
สงครามสตรีมมิ่งในสหรัฐยังร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ฝั่งค่าย HBO บริษัทลูกในเครือ WarnerMedia (ซึ่งเป็นลูกของ AT&T อีกที) มีบริการสตรีมมิ่งใหม่ชื่อ HBO Max ที่เพิ่งได้ ภาพยนตร์ทั้งหมดของ Studio Ghibli มาฉายออนไลน์
นอกจากตัวคอนเทนต์ที่แข่งกันดุเดือด การที่ HBO Max เป็นบริการในเครือ AT&T ย่อมทำให้เกิดการเชื่อมโยงฐานลูกค้าระหว่างกันได้ และ AT&T ก็ประกาศมาแล้วว่า ลูกค้าของตัวเองที่เป็นสมาชิกเคเบิลทีวี HBO แบบดั้งเดิมจำนวนประมาณ 10 ล้านคน จะมีสิทธิใช้งาน HBO Max ได้ฟรี
มีรายละเอียดเพิ่มเติมจากสตรีมมิ่ง Disney+ ที่ใกล้จะเปิดตัวเต็มที ว่าในราคา 12.99 ดอลลาร์นี้ รวมบริการ Hulu และ ESPN แล้ว เท่ากับว่าได้ดูคอนเทนต์สามเจ้าในราคาที่ถูกกว่า Netflix
Star Trek เปิดตัวเทรลเลอร์ของซีรีส์ภาคใหม่ Star Trek: Picard โดยนำเอา Patrick Stewart มารับบทกัปตัน Jean-Luc Picard อีกครั้งหลังวางมือ (ในเรื่อง) ไปนาน 20 ปี
ซีรีส์ Star Trek: Picard จับความยุคหลังเหตุการณ์ในซีรีส์ภาค The Next Generation (TNG เริ่มฉายปี 1987) ที่สิ้นสุดในภาพยนตร์ภาค Nemesis (ฉายปี 2002) โดยกัปตัน Picard ที่เกษียณตัวเองไปอยู่บ้าน ต้องกลับมาปฏิบัติภารกิจอีกครั้ง และรวบรวมลูกเรือชุดใหม่ขึ้นมา
Star Trek: Picard ยังมีตัวละครเก่าๆ บางตัว เช่น Data, Seven of Nine, Hugh the Borg โดยนักแสดงชุดเดิม บวกกับลูกเรือรุ่นใหม่ๆ
พูดถึง Netflix หลายคนอาจจะนึกถึงผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเจ้าแรกๆ ขณะที่ฝั่งเทคโนโลยีหลังบ้าน Netflix เองก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในการออกแบบเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมหลังบ้านของตัวเอง ล่าสุด Netflix ออกฟีเจอร์ใหม่ High Quality Audio ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพเสียง รวมถึงปรับคุณภาพเสียงให้เหมาะสมกับคุณภาพอินเทอร์เน็ต ณ เวลานั้นๆ ด้วย
มีผู้ใช้งานทวิตเตอร์ @baristmtle โพสต์ว่า Netflix เปิดให้สมัครใช้งานแบบจ่ายรายสัปดาห์ได้แล้ว โดยคิดราคา 70, 90 และ 105 บาทต่อสัปดาห์ (Basic, Standard, Premium ตามลำดับ)
จากการตรวจสอบของ Blognone พบว่า แพ็กเกจนี้ใช้เฉพาะคนที่สมัครใหม่ไม่เคยมีบัญชี Netflix มาก่อน เพราะผู้เขียนมีบัญชีอยู่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแผนไปจ่ายรายสัปดาห์ได้
ผู้ใช้ Netflix อาจคุ้นชินกับการดูซีรีส์แบบ binge-watching หรือดูรวดเดียวจบทั้งซีซัน เพราะ Netflix มักปล่อยออริจินัลซีรีส์ของตัวเองมาแบบทีเดียวจบ ทว่าดูเหมือนคู่แข่ง Disney+ อาจจะเลือกไม่ใช้วิธีดังกล่าวก็เป็นได้
Anthony Breznican นักข่าวจาก Entertainment Weekly ทวีตระบุว่าได้สอบถามจากแหล่งข่าวของตัวเอง ยืนยันว่า The Mandalorian ออริจินัลซีรีส์บน Disney+ เรื่องแรกจะเริ่มฉายวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ วันเดียวกับที่ Disney+ เปิดให้บริการ โดยการฉายจะปล่อยสัปดาห์ละตอนเหมือนซีรีส์ในแบบเดิม
สตรีมมิ่งไม่เพียงให้ความบันเทิงแค่ผู้ใหญ่ แต่ผู้ชมที่เป็นกลุ่มเด็กและครอบครัวก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสตรีมมิ่งเปรียบเหมือนเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปแล้ว ดังนั้นการแข่งขันคอนเทนต์ของวงการสตรีมมิ่งจึงต้องเจาะกลุ่มเด็กและครอบครัว
ตลาดตอนนี้ที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็น Netflix โดย Andy Yeatman อดีตผู้จัดการคอนเทนต์เด็กและครอบครัวบอกว่า ในบรรดาคอนเทนต์สำหรับเด็กที่มีอยู่ประมาณ 200 เรื่องมีการรับชมไปแล้ว 2 ล้านครัวเรือน ตัวเลขกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็กและครอบครัวโตขึ้น 61% เป็นตัวเลขทั่วโลก ส่วนในสหรัฐฯ โตขึ้น 13% เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว (ตัวเลขเดือนตุลาคม 2017)
ตลาดสตรีมมิ่งจะเริ่มสนุกสนานมากขึ้นไปอีกเมื่อ Disney กำลังจะเปิดตัวสตรีมมิ่งของตัวเอง แม้จะตามหลัง Netflix แต่ด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเด็กๆ รู้จักก็น่าจะทำให้เด็กติดตามได้ไม่ยาก มาดูกันว่าแต่ละเจ้ามีทีเด็ดอะไรมาเจาะตลาดเด็กและครอบครัวได้บ้าง
ปัจจุบัน ระบบเตือนภัยฉุกเฉินจากทางการสหรัฐฯ (เช่น การก่อการร้าย, ภัยธรรมชาติ และอื่น ๆ) มักจะใช้การแจ้งเตือนผ่านมือถือหรือป๊อปอัพบนรายการทีวี ล่าสุดวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายให้ปรับปรุงระบบเตือนภัยฉุกเฉินใหม่ชื่อว่า Reliable Emergency Alert Distribution Improvement หรือ READI ที่มีจุดประสงค์สำคัญคือปรับปรุงให้การเตือนภัยไปถึงประชาชนให้ได้มากขึ้น และเชื่อถือได้มากขึ้น
เรื่องที่สำคัญที่ปรากฏในร่างกฎหมาย READI คือการเปิดช่องทางให้ภาครัฐแจ้งเตือนเหตุการณ์ฉุกเฉินผ่านบริการสตรีมมิ่ง (โดยเอ่ยชื่อตัวอย่างคือ Netflix และ Spotify) เนื่องจากบริการเหล่านี้เป็นที่นิยมและมีจำนวนผู้ใช้บริการมากขึ้นในช่วงหลัง
ส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญในร่างกฎหมาย READI เช่น
Hotstar บริการสตรีมมิ่งออนดีมานด์รายใหญ่ของอินเดีย เปิดเผยสถิติใหม่ ของการถ่ายทอดสดการแข่งขันคริกเกต IPL นัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง Chennai Super Kings และ Sun Risers Hyderabad โดยมีคนดูการถ่ายทอดสดพร้อมกัน 10.3 ล้านคน
บริการ Hotstar ใช้ระบบหลังบ้านของ Akamai ผู้ให้บริการ CDN รายใหญ่ เพื่อรองรับจำนวนผู้ชมพร้อมกันในปริมาณที่สูงเช่นนี้ ซึ่งทาง Akamai เผยว่าจำนวนผู้ชมพร้อมกันระดับนี้ ถือเป็นครั้งแรกของโลกอินเทอร์เน็ต
การแข่งขันคริกเกต IPL ถือเป็นการแข่งขันกีฬารายการสำคัญของอินเดีย ที่มีผู้ชมในประเทศรอชมเป็นจำนวนมาก และอีกปัจจัยสำคัญคือ Hotstar คิดราคาในการชมคอนเทนต์ที่ไม่สูงมาก รวมทั้งเนื้อหาบางอย่างก็เปิดให้ชมฟรีด้วย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวงการเกมเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอาชีพใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับวงการเกมเกิดขึ้น ผมขอยกตัวอย่างอาชีพที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วโลกก็คือ "สตรีมเมอร์" หน้าที่หลักที่ต้องทำเป็นประจำคือเล่นเกมให้คนดู เมื่อคุณสร้างความประทับใจผู้ชมได้ ทางผู้ชมก็จะสามารถส่งเงินให้คุณได้ตามช่องทางต่างๆ
เหล่าสตรีมเมอร์ส่วนใหญ่จะใช้ Twitch ซึ่งมีระบบช่วยอำนวยความสะดวกในการสนับสนุนสตรีมเมอร์ที่ชื่นชอบ และในวันนี้ผมจะพาไปชม 10 อับดับสตรีมเมอร์ที่มีคนดูมากที่สุดบน Twitch ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ปีที่แล้ว Disney ประกาศทำบริการสตรีมมิ่งของตัวเองเพื่อแข่งกับ Netflix โดยจะแยกบริการออกเป็น 2 ตัวคือภาพยนตร์ (ในเครือ Disney) และกีฬา (ใต้แบรนด์ ESPN)
วันนี้ บริการสตรีมมิ่งกีฬาเปิดตัวมาก่อนแล้ว (ของภาพยนตร์จะเปิดตัวปลายปีหน้า 2019) โดยใช้ชื่อว่า ESPN+
ESPN+ เป็นบริการสตรีมกีฬาแบบเหมาจ่ายรายเดือน 4.99 ดอลลาร์ โดยจะมีเนื้อหาด้านกีฬาทั้งหมดจากช่อง ESPN โดยเฉพาะการถ่ายทอดสดกีฬาชนิดต่างๆ (เน้นกีฬาในสหรัฐ) เช่น เบสบอล MLB, ฮ็อกกี้ NHL, ฟุตบอล MLS, กอล์ฟ PGA Tour, เทนนิส Graand Slam, ชกมวยแมตช์สำคัญๆ รวมถึงออริจินัลคอนเทนต์ที่มีเฉพาะบน ESPN+ ด้วย
ก่อนหน้านี้ Disney เคยประกาศสร้างซีรีส์ Star Wars ฉบับคนแสดง เพื่อเป็น original content ฉายบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง
ล่าสุด Disney ประกาศเปิดตัว Jon Favreau ผู้กำกับภาพยนตร์ Iron Man สองภาคแรก (ผลงานล่าสุดคือ The Jungle Book และ The Lion King ที่จะฉายในปี 2019) จะเข้ามารับผิดชอบการเขียนบทและการผลิตซีรีส์ชุดนี้
Jon Favreau ไม่ใช่หน้าใหม่ในโลกของ Star Wars เพราะเขาเคยมารับบทพากย์เสียงตัวละครในซีรีส์แอนิเมชัน Star Wars: The Clone Wars และร่วมแสดงเป็นตัวประกอบใน Solo: A Star Wars Story ด้วย
ซีรีส์ Star Wars ชุดนี้ยังไม่มีชื่อภาค และยังไม่ระบุช่วงเวลาฉาย
ค่าความนิยมอีสปอร์ตประจำสัปดาห์ที่ 19-25 ก.พ. 61 ผ่านยอดผู้ชม Twitch ที่มีเวลาดูเกิน 1 ชม.
รวบรวมโดย EsportsObserver.com
อับดับที่ 1 ยังคงเป็นของ League of Legends ตัวเลขยอดวิวเพิ่มขึ้นเกือบๆ ล้านวิว ในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมาซึ่งผลทั้งหมดทั้งมวลนี้มาจากการที่ทาง Riot Games มีการอัปเดตออกมาในวันที่ 22 ก.พ ช่วยกระตุ้นให้ยอดผู้ชมสตีมเมอร์พุ่งขึ้นไปอีก ทำให้มีผลไปถึงการแข่งขันใหญ่ๆอีกด้วย
เว็บไซต์ Ad Age รายงานว่า Amazon เตรียมทำ Amazon Prime Video แบบฟรีโดยมีโฆษณา หวังแข่งกับเจ้าใหญ่รายอื่นอย่าง Netflix, Hulu และ YouTube เต็มที่ จากที่ดู Prime Video ได้ต้องจ่าย 99 ดอลลาร์ต่อปีหรือ 10.99 ดอลลาร์ต่อเดือน
การปรับมาเป็นเวอร์ชั่นฟรีไม่เพียงแข่งกับสตรีมมิ่งเจ้าอื่น แต่ยังเป็นความท้าทายต่อสื่อเก่าที่นับวันตัวเลขคนเสพสื่อดั้งเดิมจะลดน้อยลงทุกที ด้านตัวเลขเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา Amazon ระบุว่ามีลูกค้าสหรัฐฯ 85 ล้านรายที่สมัครใช้บริการ Prime ด้าน Netflix มีผู้ใช้บริการประมาณ 50 ล้านราย ในขณะที่บรรดาบริษัทเคเบิลทีวี มีจำนวนประมาณ 48.6 ล้านรายทั่วประเทศ (ตัวเลขจากหลายบริษัทรวมกัน)
งานวิจัยจาก CTA หรือ Consumer Technology Association สัมภาษณ์บุคคลผ่านออนไลน์ 2,500 คนระหว่าง 27 เมษายนถึง 10 พฤษภาคม 2017 เผย คนรุ่น Millennial ช่วงอายุ 18 - 34 ปี ดูคอนเทนต์ในขณะที่ออนแอร์อยู่น้อยลงทุกที โดยมี 55% ได้ดูคอนเทนต์นั้นๆ ย้อนหลัง และมี 45% ที่ดูขณะคอนเทนต์นั้นในช่วงเวลาออกอากาศ
ในบรรดาคอนเทนต์ที่ผู้ให้การสำรวจระบุ มี 35% เป็นคอนเทนต์จากบริการสตรีมมิ่งต่างๆ อย่าง Netflix, Pay TV และ 20% ดูผ่าน DVR หรือเครื่องบันทึกวิดีโอดิจิทัล
อุตสาหกรรมโรงหนังกำลังถูกท้าทายจากบริการสตรีมมิ่งออนไลน์ต่างๆ แต่ MoviePass แตกต่างออกไป MoviePass เป็นบริการสมัครสมาชิกดูหนังในโรงในราคาเพียง 10 ดอลลาร์/เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ผู้บริหาร คือ Mitch Lowe เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix อีกด้วย
ผู้ใช้ต้องลงทะเบียนเพื่อรับการ์ดดูหนัง จากนั้นจึงเข้าแอพ MoviePass เพื่อเลือกดูหนังจากโรงภาพยนตร์ โดยมีโรงภาพยนตร์ประมาณ 4,000 แห่งในสหรัฐฯร่วมรายการ สุดท้ายนำการ์ด MoviePass ไปสแกนที่ตู้ซื้อตั๋วหนัง ทั้งหมดนี้มีค่าบริการรายเดือน 10 ดอลลาร์/เดือน และทาง MoviePass ระบุว่าทางบริษัทจ่ายเงินเต็มจำนวนให้กับโรงหนัง
Netflix ประสบความสำเร็จได้ด้วยการทำออริจินัลคอนเทนต์หรือคอนเทนต์ที่เป็นลิขสิทธิ์ของตัวเองโดยเฉพาะ iflix สตรีมมิ่งจากมาเลเซียที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็พยายามแย่งส่วนแบ่งการตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ iflix ประกาศระดมทุนได้เพิ่ม 133 ล้านดอลลาร์ ผลักดันโปรดักชั่น และตั้งเป้าจะมีผู้ใช้พันล้านราย
คอแอนิเมชั่นอาจต้องหันมาจับตามอง Netflix ในฐานะสตรีมมิ่งที่เริ่มลงทุนคอนเทนต์แอนิเมชั่นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแอนิเมชั่นที่คาดว่าจะเป็นเรือธงของ Netflix ช่วงนี้คือ Fullmetal Alchemist และ Ghost in the Shell และมีข่าวว่าจะนำเซนต์เซย่ามารีเมค ล่าสุดที่โตเกียว Netflix ประกาศทำแอนิเมชั่นอีก 12 เรื่อง ซึ่งจะได้รับชมกันภายในปี 2018
เว็บไซต์ WIRED วิเคราะห์การลงทุนของ Netflix ในคอนเทนต์แอนิเมชั่นว่า อาจมาถูกทางและเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี เพราะลงทุนถูกกว่าทำซีรีส์ และเข้าถึงคนดูกว้างขวาง
บริษัทวิจัยการตลาด eMarketer เผยตัวเลขมีผู้ใช้ 168 ล้านรายดูคอนเทนต์บนทีวีผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และครึ่งหนึ่งใช้อุปกรณ์สตรีมมิ่ง โดย 4 ผู้เล่นในตลาดนี้ที่ครองอันดับต้นๆ คือ Roku, Amazon, Google และ Apple
Roku มียอดผู้ใช้งานสูงสุดคือ 38.9 ล้านราย อันดับสองคือ Google Chromecast มีผู้ใช้ 36.9 ล้านราย อันดับสาม Amazon Fire TV มีผู้ใช้ 35.8 ล้านราย และอันดับสี่คือ Apple มีผู้ใช้ 21.3 ล้านราย
ปัจจุบันผู้บริโภคคอนเทนต์มีทางเลือกในการรับชมสื่อมากมาย โดยบริการที่ยิ่งนับวันยิ่งเติบโตคือสตรีมมิ่งหนังและซีรี่ส์ เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์หนังและซีรี่ส์ที่ชื่นชอบได้ในทุกเวลาทุกอุปกรณ์ และที่สำคัญคือให้ภาพคมชัด ถูกลิขสิทธิ์
แต่ถ้าใครกำลังมองหาสตรีมมิ่งราคาสบายๆ สามารถเลือกระยะเวลารับบริการได้อย่างอิสระ และชื่นชอบซีรี่ส์ฝรั่งเก่าและหนังพล็อตเรื่องแปลกๆ นอกกระแส DOONEE เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ