สำนักข่าว BBC รายงานว่าได้รับเอกสารภายในจากบริษัท ARM แจ้งให้พนักงานหยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ยทั้งหมดเนื่องจากสถาปัตยกรรม ARM นั้นมี "เทคโนโลยีสหรัฐฯ"
ARM ไม่ได้ขายชิปโดยตรงแต่ขายสถาปัตยกรรมคำสั่ง (instruction set architecture - ISA) และพิมพ์เขียวของชิปเพื่อให้บริษัทต่างๆ นำไปปรับแต่งและผลิตขายด้วยตัวเอง บริษัทผู้ผลิตชิปเช่นแอปเปิล, ซัมซุง, หรือหัวเว่ย ต้องซื้อสิทธิ์ในการผลิตจาก ARM ก่อนจะผลิตชิป
ตัว ARM เป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสหราชอาณาจักร แต่เจ้าของบริษัทคือ SoftBank จากญี่ปุ่น อย่างไรก็ดีเทคโนโลยีซีพียูนั้นมักมีการซื้อเทคโนโลยีข้ามบริษัทกันไปมาหลายต่อ
ที่งาน Tencent Global Digital Ecosystem Summit ซึ่งจัดขึ้นที่ยูนนาน Pony Ma ซีอีโอ Tencent ได้ให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ และ จีนในตอนนี้ จากการอ้างอิงจากสำนักข่าวท้องถิ่น 36kr เขาให้ความเห็นว่า ก็ต้องคอยจับตาดูต่อว่า สงครามการค้ารอบนี้ จะกลายเป็นสงครามเทคโนโลยี หรือการกีดกันทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่หรือไม่
ซึ่ง Ma ระบุว่า การจะแก้ปัญหานี้ได้ จีนต้องผลิตนวัตกรรมของตัวเอง และต้องลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญๆ เพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลของจีน มีรากฐานที่มั่นคง
ประเด็นเรื่อง Huawei ยังเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง อีกประเด็นที่คนสงสัยนอกเหนือจาก กูเกิลแบนไม่ให้เข้าถึง Android คือกรณีคล้ายๆ กันแต่เปลี่ยนระบบปฏิบัติการจาก Android เป็น Windows จะเป็นอย่างไร
ไมโครซอฟท์ยังไม่มีท่าทีใดๆ ในเรื่องนี้ว่าจะขายไลเซนส์ Windows ให้กับโน้ตบุ๊กของ Huawei หรือไม่ แต่ก็มีคนไปพบว่าไมโครซอฟท์ถอดรายการโน้ตบุ๊ก Huawei MateBook X Pro ออกจากเว็บไซต์ Microsoft Store อย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ประกาศข้อมูลใดๆ
หลังจากที่ช่วงเช้ามีรายงานว่าสหรัฐอเมริกา จะออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ Huawei เพื่อทำธุรกิจกับบริษัทในสหรัฐฯ ได้ต่อไปอีก 90 วัน ล่าสุดซีอีโอ Huawei ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว
Ren Zhengfei ซีอีโอของ Huawei ระบุว่าการต่ออายุ 90 วันของสหรัฐฯ นั้น "แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย" และ Huawei ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้อย่างเต็มที่แล้ว
นอกจากนี้ Ren ยังเสริมว่าเทคโนโลยี 5G ของ Huawei จะไม่ได้รับผลกระทบจากการประกาศแบนจากสหรัฐฯ และบอกว่าจะไม่มีบริษัทใดตาม Huawei ทันในด้านเทคโนโลยี 5G ไปอย่างน้อย 2-3 ปี
สุดท้าย Ren ยังบอกอีกว่านักการเมืองสหรัฐฯ นั้นประเมินความสามารถของ Huawei ต่ำไป
ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐ จนส่งผลกระทบมาถึงกูเกิลแบนหัวเว่ย เริ่มมีท่าทีผ่อนปรนมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ (Commerce Department) ได้ออกใบอนุญาตชั่วคราว ให้หัวเว่ยสามารถสั่งซื้อสินค้าชิ้นส่วนจากบริษัทของสหรัฐได้ เพื่อให้สามารถดูแล สนับสนุน บำรุงรักษา สินค้าปัจจุบันที่หัวเว่ยจำหน่ายอยู่ต่อไปได้
ใบอนุญาตชั่วคราวดังกล่าวมีอายุ 90 วัน จนถึงวันที่ 19 สิงหาคม 2019 ทำให้หัวเว่ยอาจใช้ช่วงเวลานี้บริหารจัดการแก้ไขซัพพลายเชน นอกจากนี้ใบอนุญาตนี้ครอบคลุมการสั่งซื้อชิ้นส่วนสินค้า เพื่อใช้งานกับสินค้าปัจจุบันเท่านั้น ไม่รวมถึงการพัฒนาสินค้าตัวใหม่
วันนี้หลังมีข่าวกูเกิลยกและบริษัทสหรัฐฯ ตัดความสัมพันธ์กับหัวเว่ย กระทรวงต่างประเทศจีนโดย Lu Kang โฆษกกระทรวง กล่าวถึงกรณีนี้สั้นๆ ว่า "จีนจะมองความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์นี้ และจะปกป้องบริษัทจีนที่มีสิทธิ์ที่ถูกต้องด้วยกระบวนการทางกฎหมาย"
คำกล่าวภาษาอังกฤษจาก CGTN "China will pay attention to the progress of the situation and support Chinese enterprises in defending their legitimate rights through legal methods"
ท่าทีของจีนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างแข็งกร้าวเมื่อหัวเว่ยได้รับผลกระทบ เมื่อครั้ง Meng Wanzhou รองประธานและซีเอฟโอของหัวเว่ยถูกจับในแคนาดา พลเมืองแคนาดาก็ถูกจับด้วยเหตุผลทางความมั่นคงไปสองคนหลังจากนั้นไม่กี่วัน
หัวเว่ยออกแถลงการณ์หลังมีประเด็นใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ว่ากูเกิลจะหยุดทำธุรกิจกับหัวเว่ย ซึ่งต่อมากูเกิลบอกว่าอุปกรณ์ปัจจุบันจะยังใช้งานได้ตามปกติ และเรื่องดูจะขยายผลเมื่อมีบริษัทอีกหลายแห่งที่มีข่าวคล้ายกัน
หัวเว่ยชี้แจงว่าบริษัทจะยังสนับสนุนและพัฒนา Android ต่อไปในฐานะพาร์ทเนอร์รายสำคัญ รวมทั้งออกอัพเดตด้านปลอดภัย ตลอดจนบริการหลังการให้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของหัวเว่ยและ Honor รุ่นปัจจุบันทั้งหมด รวมทั้งรุ่นที่ยังมีอยู่ในสต๊อกสินค้าทั่วโลก หัวเว่ยจะยังคงสร้างระบบนิเวศของซอฟต์แวร์ที่ปลอดภัยต่อไป เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้งานทั่วโลก
จากข่าว กูเกิลหยุดทำธุรกิจกับ Huawei ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐ สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก และเกิดคำถามตามมามากมายว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป สมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต Huawei ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จะได้รับผลกระทบแค่ไหน
Blognone จึงพยายามตอบคำถามเหล่านี้ ตามข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน
Nikkei Asian Review อ้างแหล่งข่าวภายในของบริษัท Infineon Technologies สองคน ระบุว่าบริษัทได้หยุดส่งชิปให้หัวเว่ยตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากคำสั่งประธานาธิบดีทรัมป์สั่งแบนหัวเว่ยและบริษัทในเครือ
ตัว Infineon เองเป็นบริษัทเยอรมัน อย่างไรก็ดีคำสั่งของทรัมป์มีผลกระทบ เพราะ Infineon ใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงจนมีผลบังคับ หากไม่ทำตามก็อาจถูกแบนแบบเดียวกับที่หัวเว่ยถูกแบนเพราะข้อกล่าวหาว่าขายเทคโนโลยีสหรัฐฯ ให้อิหร่าน
จากกรณี กูเกิลแบนการทำธุรกิจกับ Huawei ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐที่เซ็นโดย Donald Trump
นอกจากกูเกิลแล้ว ยังมีบริษัทสหรัฐอีกจำนวนมากที่จะถูกห้ามทำธุรกิจกับ Huawei ซึ่งเว็บไซต์ Bloomberg ก็รายงานข่าวว่า บริษัทผลิตชิปสัญชาติอเมริกันทั้งหลาย ตั้งแต่ Intel, Qualcomm, Broadcomm, Xilinx ก็แจ้งพนักงานให้เตรียมตัวหยุดทำธุรกิจกับ Huawei แล้วเช่นกัน
update: บริษัทอื่น เช่น Intel, Xilinx, Broadcom, Qualcomm เริ่มมีข่าวเลิกขายสินค้าให้หัวเว่ยเช่นกัน
กูเกิลออกแถลงสั้นๆ ยืนยันว่าจะให้บริการ Google Play กับโทรศัพท์หัวเว่ยต่อไป แม้จะมีคำสั่งแบนหัวเว่ยและบริษัทในเครือจากประธานาธิบดี หลังมีข่าววันนี้ว่ากูเกิลจะหยุดให้บริการทั้งหมดกับโทรศัพท์หัวเว่ย
แถลงของกูเกิลยืนยันเฉพาะ "รุ่นปัจจุบัน" เท่านั้น (existing devices) โดยยังไม่มีรายละเอียดว่ารุ่นต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไรโดยกูเกิลอยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อทำตามคำสั่งนี้
update: แถลงของกูเกิลระบุจะให้บริการกับอุปกรณ์ Huawei รุ่นปัจจุบันต่อไป
update 2: บริษัทอื่น เช่น Intel, Xilinx, Broadcom, Qualcomm เริ่มมีข่าวเลิกขายสินค้าให้หัวเว่ยเช่นกัน
หลังจากที่ประธานาธิบดี Donald Trump ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งแบนเทคโนโลยีสื่อสารที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็ทราบกันดีว่ามี Huawei เป็นเป้าหมายหลัก
ประธานาธิบดีทรัมป์ออกประกาศภาวะฉุกเฉินด้านความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมลงนามในคำสั่งบริหาร สั่งห้ามไม่ให้บริษัทสัญชาติอเมริกัน ใช้งานอุปกรณ์สื่อสารจากบริษัทที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งคำสั่งนี้น่าจะพุ่งเป้าไปที่บริษัทสัญชาติจีน โดยเฉพาะ Huawei ที่กำลังมีปัญหากันอยู่
หลังจากนี้ภายใน 150 วัน กระทรวงพาณิชย์จะร่างกฎระเบียบและไกด์ไลน์ในการสกัดกันไม่ให้บริษัทสื่อสารสัญชาติจีนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือมีบทบาทใดๆ กับบริษัทสหรัฐ นอกจากนี้ Huawei ยังถูกเพิ่มไปในรายชื่อ Entity List ของ Bureau of Industry and Security (BIS) สังกัดกระทรวงพาณิชย์ด้วย ซึ่งเท่ากับว่าหากบริษัทสหรัฐจะขายสินค้าใดๆ ให้ Huawei ต้องได้รับการรับรองจาก BIS ก่อนด้วย
Brand Finance บริษัทด้านการจัดอันดับและประเมินมูลค่าของแบรนด์จากสหราชอาณาจักร ออกรายงานประเมินมูลค่าของแบรนด์โทรคมนาคมทั่วโลกประจำปี 2019 สิ่งที่น่าสนใจคือ AIS ชนะอันดับ 1 ของโลกในหมวดความเข้มแข็งของแบรนด์ (Brand Strength)
รายงานของ Brand Finance จัดอันดับแบรนด์โทรคมนาคมออกเป็นทั้งหมด 4 หมวด ได้แก่
Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้ยื่นหนังสือไล่นาย Gavin Williamson ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม หลังถูกกล่าวหาว่าทำข้อมูลเกี่ยวกับแผนการพัฒนา 5G ของรัฐบาลโดย Huawei หลุดออกไป
ด้านนาย Williamson ยืนยันว่าตนเองไม่ได้เป็นคนทำข้อมูลดังกล่าวหลุดออกไป พร้อมสาบานด้วยลูกสาวของตนเอง เขาชี้ด้วยว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้เกิดจากความบาดหมางภายในคณะรัฐมนตรีและตนเองเป็นเหยื่อของศาลเตี้ย โดยก่อนหน้านี้ May ให้โอกาสเขาเลือกที่จะลาออกด้วยตัวเอง แต่เจ้าตัวปฏิเสธ เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับข้อกล่าวหานี้
Huawei ตั้งเป้าจะท้าทายเจ้าตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิคส์ ไม่ใช่แค่ในตลาดสมาร์ทโฟน แต่ดูท่าทางจะรวมถึงทีวีและพีซีด้วย เมื่อล่าสุดประกาศว่าจะเป็นผู้ผลิตพีซีท็อป 5 ของโลกให้ได้ภายใน 3 ปี รวมถึงตั้งเป้าเปิดตัวทีวีที่รองรับ 5G ภายในปีนี้
Nikkei รายงานข้อมูลนี้อ้างอิงจากคนในของ Huawei โดยนอกจากทีวี 5G แล้วก็น่าจะมีทีวีความละเอียดระดับ 8K ด้วย ซึ่งการที่ Huawei จะลงมาเล่นในตลาดทีวีด้วยก็หนีไม่พ้นเหตุผลที่ต้องการขยายไลน์สินค้าคอมซูมเมอร์อิเล็กทรอนิคส์ของตัวเองให้ครอบคลุมมากที่สุด ถึงกระนั้นนักวิเคราะห์ยังคงตั้งคำถามถึงแบรนด์ Huawei ในไลน์สินค้ากลุ่มนี้อยู่ว่าจะแข็งแรงแค่ไหน
IDC ออกรายงานสภาพตลาดสมาร์ทโฟนในไตรมาสแรกของปี และแน่นอนว่ายังคงติดลบต่ออีกไตรมาส ที่ 6.6% ขณะที่ท็อป 3 ยังคงเป็นหน้าเดิมคือ Samsung, Huawei และ Apple
ยอดขายของ Samsung ยังทรงๆ ทรุดๆ ส่งมอบลดลงไป 8.1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วจาก 78.2 ล้านเครื่องเหลือ 71.9 ล้านเครื่อง ส่วนแบ่ง 23.1% ขณะที่ Huawei ยังคงพุ่งแรงต่อเนื่อง เติบโตมากขึ้น 50.3% ส่วนแบ่งขยับเข้ามาใกล้ Samsung ที่ 19% ซึ่งดูจากทิศทางนี้ เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์ 1 ของโลก คงเป็นไปตามเป้า
หลังจากมีข่าวเอกสารของ Vodafone ว่าพบช่องโหว่ในอุปกรณ์ Huawei ทาง Vodafone ก็ออกแถลงไปยังสำนักข่าวเพิ่มเติม โดยชี้แจงว่าช่องโหว่ที่ว่านี้คือ telnet
ตัวแถลงเขียนสับสน ไม่ชัดเจนว่าหมายถึงมี telnet client ในอุปกรณ์ หรืออุปกรณ์รัน telnet server เอาไว้ แต่ระบุเพียงว่า telnet เป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับการวิเคราะห์การทำงาน
ค่อนข้างประจวบเหมาะไม่ใช่น้อยเมื่อสำนักข่าว Bloomberg รายงานการค้นพบเอกสารที่ชี้ว่า Vodafone ค้นพบซอฟต์แวร์ backdoor ในเร้าเตอร์ที่เครือข่ายให้ลูกค้าใช้งานตามบ้านและที่ node ของเครือข่ายไฟเบอร์ที่ Vodafone ให้บริการในอิตาลีในปี 2011 ท่ามกลางการโจมตีของรัฐบาลสหรัฐในประเด็นความมั่นคงต่อ Huawei
ทาง Vodafone ยืนยันเรื่องนี้กับ Bloomberg และระบุด้วยว่าได้ติดต่อให้ Huawei นำซอฟต์แวร์ดังกล่าวออก ซึ่งก้ได้รับการยืนยันจาก Huawei ณ ตอนนั้นว่าได้แก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว ทว่าในเอกสารของ Vodafone กลับระบุว่าการทดสอบหลังจากนั้นก็ยังคงพบปัญหานี้อยู่
การบีบไม่ให้ประเทศพันธมิตรใช้งานอุปกรณ์ Huawei ของรัฐบาลสหรัฐเริ่มจริงจังและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดคืออาจจะไม่แบ่งปันข้อมูลหรือข่าวกรองกับประเทศพันธมิตรเหล่านันเลย จากการเปิดเผยของรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายนโยบายสารสนเทศ, การสื่อสารและไซเบอร์
รองผู้ช่วยรัฐมนตรีระบุว่า จุดยืนของรัฐบาลสหรัฐคือ ทำให้บริษัทที่ขายอุปกรณ์ 5G ที่ไม่น่าเชื่อถืออย่าง Huawei หรือเจ้าอื่นๆ อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก และหากประเทศไหนที่ให้บริษัทเหล่านี้ดูแลอุปกรณ์ 5G ภายในประเทศ รัฐบาลสหรัฐก็จะต้องประเมินกระบวนการแบ่งปันข้อมูลกับประเทศเหล่านี้
จากปัญหาที่กำลังรุมเร้า Huawei ไม่ว่าจะเรื่องถูกรัฐบาลหลายชาติสั่งแบน ไปจนถึงคดีความกับ T-Mobile และคดีเรื่องขายของให้อิหร่าน
มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เป็นมหาวิทยาลัยล่าสุดที่ประกาศระงับการทำงานวิจัยร่วมกับ Huawei โดยหนังสือที่แจ้งพนักงานและนักศึกษาของวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยระบุชัดเจนว่าการตัดสินใจนี้มีผลทันที และมหาวิทยาลัยจะไม่รับเงินทุน, ของกำนัลหรือการติดต่อจาก Huawei หรือบริษัทลูกใดๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนผู้ที่อยู่ระหว่างการทำวิจัย หนังสือระบุว่ายังคงให้ทำวิจัยต่อไปจนสิ้นสุดขอบข่ายความรับผิดชอบตามข้อตกลงหรือสัญญาที่ตั้งไว้ โดยมหาวิทยาลัยจะไม่รับรองสัญญาหรือข้อตกลงฉบับใหม่หลังจากนี้
Huawei ประกาศในงานประชุมนักวิเคราะห์ทางการเงิน Huawei Global Analyst Conference ถึงแผนการออกมือถือจอพับได้ Huawei Mate X ว่ายืนยันจะเปิดขายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตรงตามที่เคยพูดไว้ในงานเปิดตัวว่าจะวางขายช่วงกลางปี
แผนการวางขาย Huawei Mate X ที่เป็นไปตามกำหนดเดิม บวกกับ Galaxy Fold ที่ประกาศเลื่อนวันวางขายออกไปไม่มีกำหนด จึงต้องรอดูกันว่าการเลื่อนของซัมซุงจะยังสามารถออกก่อน Mate X ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงได้หรือไม่
ในแผนการของ Huawei ยังระบุว่าจะมีมือถือ 5G วางขายอีกรุ่นหนึ่งในช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งก็คาดกันว่าน่าจะเป็น Huawei Mate 30 รุ่นที่เป็น 5G นั่นเอง
หลังจากเมื่อวานนี้มีรายงานโทรศัพท์ Huawei P30 Pro ติดต่อเซิร์ฟเวอร์หลายตัว รวมถึงเซิร์ฟเวอร์ในโดเมน gov.cn วันนี้คุณ pe3z ก็เพิ่มเติมรายงานว่าเป็นความผิดพลาดระหว่างทดสอบ โดยโดเมน beian.gov.cn นั้นถูกคิวรีเพราะการเข้า baidu.com ที่คุณ pe3z ใส่ไปเองระหว่างการทดสอบ
โดเมน beian.gov.cn นั้นเป็นหน่วยงานให้ใบอนุญาตบริการเว็บไซต์ในจีน หรือเว็บไซต์ที่ใช้โดเมน .cn
ที่มา - GitHub: pe3zx
UPDATE: คุณ pe3z ได้เขียนรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับโดเมน beian.gov.cn ว่าเกิดจากการเข้า baidu.com
คุณ pe3z ได้ตรวจสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของโทรศัพท์ Huawei P30 Pro ว่าได้พยายามขอ resolve ชื่อ DNS ของเซิฟเวอร์ในประเทศจีนหลายรายการ และอาจมีการส่งข้อมูลกลับไปยังเซิฟเวอร์ดังกล่าวด้วย ซึ่งในรายการเซิฟเวอร์ที่ถูกติดต่อไปนั้น หนึ่งในนั้นคือ beian.gov.cn ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความปลอดภัยด้านเครือข่ายของประเทศจีน โดยคุณ pe3z ยังไม่ได้ตรวจสอบเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกส่งออกไปว่ามีเนื้อหาอะไรบ้าง
Huawei รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสแรกของปี 2019 รายได้รวมเพิ่มขึ้น 39% เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน เป็น 1.79 แสนล้านหยวน และได้ส่งมอบสมาร์ทโฟนไปทั้งหมด 59 ล้านเครื่อง
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ Huawei ออกมารายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ที่ผ่านมา Huawei จะออกรายงานเฉพาะครึ่งปีและประจำปี เนื่องจากไม่ใช่บริษัทในตลาดหุ้น แต่การนำเสนอตัวเลขนี้น่าจะเป็นการบอกว่าบริษัทยังเติบโตได้ดี
Huawei บอกว่าปี 2019 จะเป็นปีที่มีการลงทุนขยายติดตั้ง 5G มากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก และจะเป็นโอกาสเติบโตมหาศาลของบริษัท
ที่มา: CNBC