แอปเปิลปรับเงื่อนไขของนักพัฒนาใน App Store ใหม่ ห้ามไม่ให้แอพเขียนหน้าจอขอให้ผู้ใช้รีวิวแอพเอง (disallow custom review prompts) ต้องเรียกใช้ผ่าน API ของแอปเปิลที่เพิ่มมาใน iOS 10.3 เท่านั้น
เป้าหมายของแอปเปิลก็ชัดเจนว่า ต้องการให้หน้าจอขอรีวิวจากผู้ใช้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเสมอ ผู้ใช้สามารถกดให้ดาวจากในแอพได้โดยไม่ต้องออกจากแอพ และจำกัดจำนวนครั้งในการขอรีวิวไม่ให้บ่อยจนเกินไป (ไม่เกิน 3 ครั้งต่อปี) และถ้าผู้ใช้ให้ดาวไปแล้ว แอพจะไม่สามารถแจ้งเตือนขอรีวิวได้อีกจนกว่าเวลาจะผ่านไป 1 ปีและต้องออกแอพเวอร์ชันใหม่ด้วย
ในงาน WWDC นอกจากแอปเปิลจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการ iOS 11 แล้ว ยังเปิดตัวโฉมใหม่ของ App Store โดยเพิ่มหมวดหมู่ใหม่เข้ามา มีเป้าในการเปลี่ยนประสบการณ์ค้นหาแอพและเกมให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
โดยแถบซ้ายมือสุดชื่อว่า Today ประกอบด้วยเนื้อหาแนะนำแอพน่าสนใจ โดยมีทีมบรรณาธิการคัดเลือกและนำเสนอเรื่องราวของการพัฒนาแอพเหล่านั้น ตลอดจนแนะนำแอพสำหรับไอเดียต่างๆ
ที่น่าสนใจคือ App Store แยกแถบ Games ออกมาเลยจากแถบ Apps ทั่วไป เป็นการตอกย้ำว่าแอพเกมถือเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมสูง
ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า iOS 11 ที่คาดว่าจะถูกเปิดตัวในงาน WWDC คืนนี้ น่าจะรองรับเฉพาะ 64-bit เท่านั้น ล่าสุดมีหลักฐานมาช่วยเพิ่มน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้น เมื่อแอปเปิลไม่แสดงผลการค้นหาแอปที่เป็น 32-bit บนแอปสโตร์แล้ว
การเปลี่ยนแปลงนี้ก็น่าจะเป็นการบังคับมาตรการสุดท้าย หลังแอปเปิลประกาศบังคับให้แอปใหม่และแอปเก่าต้องรองรับ 64-bit มาตั้งแต่ปี 2014 (ข่าวเก่า 1, 2)
ที่มา - Engadget
แอปเปิลเปิดเผยตัวเลขก่อนงาน WWDC สัปดาห์หน้าว่านักพัฒนาบน App Store ทำเงินไปแล้วรวมกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ App Store เปิดตัวในปี 2008 ซึ่งหากคำนวณกลับว่าแอปเปิลหักส่วนแบ่ง 30% เท่ากับว่าแพลตฟอร์ม App Store ทำเงินไปแล้วกว่าแสนล้านดอลลาร์
แอปเปิลยังเผยข้อมูลว่ายอดดาวน์โหลดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 70% โดยหมวดที่ได้รับความนิยมสูงคือภาพถ่ายและวิดีโอ เติบโตถึง 90% ส่วนรูปแบบการคิดหักส่วนแบ่งใหม่อย่าง subscriptions ก็มีการเติบโตถึง 85%
แอปเปิลประกาศปรับลดอัตราส่วนแบ่งค่าคอมมิชชั่น สำหรับ iTunes Affiliate Program จากเดิม 7% เหลือ 2.5% (ลดลง 64%) มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เฉพาะแอพ และ In-App Purchase ส่วนภาพยนตร์, เพลง (รวมทั้ง Apple Music) และหนังสือ ยังคงอัตรา 7% เท่าเดิม
แอปเปิลไม่ได้ชี้แจงสาเหตุของการปรับลดส่วนแบ่งในการโหลดแอพนี้
Romain Dillet จาก TechCrunch ให้ความเห็นว่าในวันที่ App Store เพิ่งเปิดตัว ทุกอย่างยังใหม่ แอพส่วนใหญ่มาจากนักพัฒนาอิสระ การค้นหาแอพสักตัวเป็นเรื่องซับซ้อน และแอพจำนวนมากยังต้องเสียเงิน เว็บแนะนำหรือรีวิวแอพก็ได้รับความนิยม โดยเว็บเหล่านี้ก็อาศัยค่าคอมมิชชั่นจาก Affiliate เป็นรายได้ การตัดสินใจลดส่วนแบ่งอย่างกะทันหันของแอปเปิลนี้ จึงอาจเป็นสัญญาณว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงของ App Store ในอนาคตอันใกล้
ที่มา: TechCrunch
บริษัทวิจัยแอพมือถือ App Annie ออกมาพยากรณ์ตลาดแอพของปี 2017 มองว่าตลาดรวมมีรายได้ราว 82,200 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อน และใน 5 ปีข้างหน้า 2021 ตลาดจะอยู่ที่ 139,100 ล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ยปีละ 18% โดยมีเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดสำคัญ
App Store ของ iOS จะยังครองเบอร์หนึ่งในด้านรายได้ต่อไปถึงปี 2021 แต่ก็มีสิ่งน่าสนใจสำหรับปี 2017 นั่นคือหากรวมรายได้ Google Play กับร้านค้าแอพรายอื่นเข้าด้วยกัน (เช่น Amazon Appstore, Samsung Galaxy) รายได้จาก Android จะแซง iOS เป็นปีแรก โดย App Store คาดทำเงิน 60,000 ล้านดอลลาร์, Google Play 42,000 ล้านดอลลาร์ และร้านค้าแอพอื่นๆ 36,000 ล้านดอลลาร์
ที่ผ่านมาแม้ iOS จะมีจำนวนผู้ใช้น้อยกว่า Android แต่แอปเปิลก็มักย้ำเสมอว่านักพัฒนาทำเงินบนแพลตฟอร์มได้มากกว่า Android ก็ดูเหมือนตัวเลขนี้จะเปลี่ยนไปเสียแล้ว
ที่มา: App Annie ผ่าน Phone Arena
Apple ได้เพิ่มความสามารถด้านการรีวิวแอพเข้าไปสองอย่างที่สำคัญ เพื่อทำให้แอพบน App Store สามารถรีวิวได้ง่ายขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกต่อทั้งผู้ใช้และนักพัฒนา ได้แก่
ที่มา - Apple Developer
iTunes Connect มีประกาศเรื่องสำคัญแก่นักพัฒนาว่า ต่อไปนี้หากแก้ไขข้อมูลของแอพบน App Store ต้องนำแอพไปผ่านการรีวิวเพื่ออนุมัติใหม่เสมอ
ก่อนหน้านี้นักพัฒนาสามารถแก้ไขรายละเอียดเกี่ยวกับแอพ, โน้ตการอัพเดตหรือข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ต้องส่งแอพรีวิวใหม่ แต่นับตั้งแต่วันนี้ หากต้องการแก้ไขข้อมูลส่วนไหนก็ตาม ต้องอัพเดตเวอร์ชันของแอพก่อน จากนั้นแก้ไขข้อมูลที่ต้องการแล้วส่งเข้ากระบวนการรีวิวใหม่เท่านั้น
หากแอพผ่านการรีวิว หน้า App Store ก็จะอัพเดตข้อมูลให้ โดยตอนนี้มีข้อมูลที่ Apple อนุญาตให้แก้ไขตอนไหนก็ได้ นั่นคือ Privacy Policy URL เพียงอย่างเดียว
Sensor Tower เผยสถิติพฤติกรรมผู้บริโภคแอพพลิเคชั่นในสหรัฐฯ (เฉพาะผู้ใช้ไอโฟน) เรียกได้ว่าปี 2016 เป็นปีแห่งแอพบันเทิงและเกมส์จริงๆ เพราะคนสหรัฐฯ ใช้เงินไปกับแอพจำพวกนี้มากขึ้น
ค่าเฉลี่ยเงินที่จ่ายไปกับแอพปี 2016 อยู่ที่ 40 ดอลลาร์/1 อุปกรณ์ แอพที่กวาดรายได้มากสุดคือแอพจำพวกเกม กว่า 80% บน App Store คือสถิติคนซื้อเกม คิดเป็นตัวเลขเงินต่ออุปกรณ์คือ 27 ดอลลาร์ สูงกว่าปี 2015 ที่ 25 ดอลลาร์ รองลงมาเป็นเพลง 3.6 ดอลลาร์
ส่วนแอพบันเทิงอย่างสตรีมมิ่งคอนเทนต์อย่าง HBO, Netflix, Hulu แม้อัตราซื้อไม่สูงเท่าเกม แต่เห็นการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด คิดเป็น 2.30 ดอลลาร์ต่ออุปกรณ์ ในขณะที่ปี 2015 ตัวเลขยังอยู่ที่ 1 ดอลลาร์เท่านั้น คิดเป็นอัตราเติบโต 130%
แอปเปิลออก iOS 10.3 Beta มีฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญคือ Find My AirPods ช่วยให้เราค้นหาหูฟังไร้สาย AirPods ได้ลักษณะเดียวกับ Find My iPhone แต่ฟีเจอร์นี้มีข้อจำกัดคือ AirPods ต้องอยู่ในรัศมี Bluetooth ที่เชื่อมต่อกับ iPhone เท่านั้น (เผื่อกรณีทำหล่นหายในบ้าน จะได้รู้ว่ายังอยู่ในบ้าน)
การเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจสำหรับนักพัฒนาแอพคือใน iOS 10.3 แอปเปิลจำกัดจำนวนการขอให้ผู้ใช้รีวิวแอพ จากเดิมที่นักพัฒนาสามารถขึ้นเตือนได้ไม่จำกัดครั้งจนเกิดความรำคาญ ก็จะเหลือเพียง 3 ครั้งต่อปีเท่านั้น
นอกจากนี้ นักพัฒนาก็ยังจะได้ฟีเจอร์ที่รอกันมานานแสนนาน อย่างการตอบคอมเมนต์รีวิวของผู้ใช้ใน App Store ได้โดยตรง ช่วยให้การสื่อสารกับผู้ใช้แอพสะดวกและเป็นปัจจุบันมากขึ้น
คนอังกฤษกำลังเตรียมรับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลัง Brexit อย่างเป็นทางการ และผลกระทบระลอกแรกคือ ผู้ใช้งานแอปเปิลต้องจ่ายค่าแอพใน App Store แพงขึ้น 25% แอพราคา 79 เพนนี ก็จะขึ้นเป็น 99 เพนนี แอพที่ราคา 1.49 ปอนด์ ก็จะขึ้นราคาไปอยู่ที่ 1.99 ปอนด์
ด้านโฆษกแอปเปิลบอกเหตุผลการขึ้นราคาว่า การตั้งราคาแอพอยู่บนปัจจัยหลายอย่าง เช่นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การดำเนินธุรกิจ ภาษี ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค
แอปเปิลไม่ใช่บริษัทไอทีรายเดียวที่ปรับตัวเรื่อง Brexit OnePlus 3 และ HTC Vive ก็ขึ้นราคาในอังกฤษแล้วเช่นกัน Tesla ก็ขึ้นราคาในอังกฤษประมาณ 5% เช่นกัน โดยระบุว่าเป็นผลจาก Brexit ล้วนๆ
แอปเปิลเจอคดีต่อต้านการผูกขาดในชั้นศาล โดยมีผู้ใช้ฟ้องแอปเปิลที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ ซื้อแอพจากที่อื่น ให้ซื้อที่ App Store เท่านั้น และถ้าแอปเปิลแพ้คดีนี้ ต้องจ่ายหลายร้อยล้านดอลลาร์เลยทีเดียว เพราะเป็นการฟ้องแบบกลุ่ม ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ 2007-2013
คดีนี้ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2011 ผู้ใช้ไม่พอใจที่จะต้องซื้อแอพบน App Store ในราคาแพงกว่า โดยแอปเปิลให้คำแก้ต่างว่าทางบริษัทไม่ได้จะขายซอฟต์แวร์ให้ลูกค้าโดยตรง แต่ลูกค้าซื้อแอพจากนักพัฒนาต่างหาก ที่แอปเปิลทำก็คือให้นักพัฒนาเช่าพื้นที่ App Store โดยพวกเขาจ่าย 30% ให้แอปเปิลเป็นค่าพื้นที่ (บางบริษัทถึงกับขึ้นราคาแอพ ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้โดยตรง)
คดีนี้คงจะยังไม่มีข้อสรุปในเร็วๆนี้ แม้จะฟ้องกันมานาน แต่ถ้าศาลตัดสินให้ลูกค้าแอปเปิลชนะ ผลที่ตามมาคือ ผู้ใช้จะซื้อแอพได้ในราคาถูกลง และซื้อแอพจาก third party ได้
เว็บไซต์ The Verge รายงานว่า ทางแอปเปิลและกูเกิลต่างตกลงที่จะนำแอพ LinkedIn โซเชียลมีเดียด้านการหางาน ออกจากหน้า App Store และ Play Store ในประเทศรัสเซีย หลังจากที่ตัวเว็บไซต์ได้ถูกบล็อกไปก่อนแล้ว
LinkedIn ถูกบล็อกในรัสเซียเนื่องจาก ได้ทำผิดกฎหมายของรัสเซียว่าด้วยการห้ามทำการเก็บข้อมูลของชาวรัสเซียไว้นอกประเทศ
ที่มา - The Verge
แอปเปิลประกาศความสำเร็จของยอดขายบน App Store เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา ที่ทำลายสถิติไปถึง 240 ล้านเหรียญภายในวันเดียว ขณะที่ปี 2016 ที่ผ่านมา แอปเปิลเผยว่าได้จ่ายเงินให้นักพัฒนาเป็นสถิติใหม่เช่นกัน อยู่ที่ราว 2 หมื่นล้านเหรียญ สูงกว่าปี 2015 ถึง 40% จากแอพทั้งหมด 2.2 ล้านแอพ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 20%
และหากนักเฉพาะเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ที่เป็นเดือนแห่งการช็อปปิ้ง แอปเปิลขายแอพไปได้กว่า 3 พันล้านเหรียญ โดยแอพที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่ก็หนีไม่พ้น Super Mario Run ของนินเท็นโด
แอปเปิลยอมลบแอพพลิเคชั่นข่าว New York Times ออกจาก App Store ของประเทศจีน เนื่องจากทางรัฐบาลจีนมีคำขอให้แอปเปิลลบแอพดังกล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมา
บริษัทวิจัยแอพหลายแห่ง เริ่มเปิดเผยตัวเลขสถิติดาวน์โหลด Super Mario Run เฉพาะในวันแรก โดย Apptopia บอกว่าในวันแรกมีราว 2.85 ล้านดาวน์โหลด ขณะที่ App Annie บอกว่าเฉพาะในอเมริกาอยู่ที่ 3.5 ล้านดาวน์โหลด แต่ถ้าคิดทั่วโลกจะอยู่ที่ 10 ล้านดาวน์โหลด
บริษัทวิจัย Sensor Tower ให้ข้อสังเกตว่า Super Mario Run นั้นไม่แรงเท่ากับ Pokemon Go เพราะใช้เวลา 6.5 ชั่วโมงในการไต่ขึ้นอันดับ 1 บน App Store เทียบกับ Pokemon Go ที่ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าน่าสนใจเพราะ Super Mario Run นั้นเป็นเกมที่ลงเฉพาะ iOS ก่อน รวมทั้งแอปเปิลก็ช่วยโฆษณาเกมนี้ผ่าน App Store แบบเต็มที่ด้วย
อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือคะแนนรีวิวบน App Store นั้นไม่ค่อยดีนัก มีคนให้ 1 ดาวประมาณครึ่งหนึ่งของผู้รีวิวทั้งหมดเลย ซึ่งสาเหตุก็มาจากราคาเกมที่แพงเกินไปในการปลดล็อกเล่นทุกด่าน รวมทั้งเกมต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา แต่ถึงอย่าง App Annie ก็บอกว่าเฉพาะในอเมริกามีคนยอมจ่ายอยู่พอสมควร และเกมก็ทำเงินไปราว 4 ล้านดอลลาร์ เฉพาะในวันแรก
ที่มา: TechCrunch
Apple ประกาศผลแอพแห่งปี Best of 2016 ผ่านทาง App Store แล้ว โดยแอพแต่งภาพ Prisma ได้ตำแหน่งแอพ iPhone แห่งปี แอพ MSQRD ได้รางวัลที่ 2 เกม Clash Royale ได้ตำแหน่งเกมบน iPhone แห่งปี เกม Reigns ได้ที่ 2 และเกม Pokemon Go ได้รางวัล Breakout Hit ไปครองในปีนี้
Apple เคยแจ้งนักพัฒนาไว้ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนว่าจะกวาดล้าง App Store โดยการลบแอพที่ถูกนักพัฒนาทิ้งร้างไม่ได้อัพเดต, ใช้งานกับ iOS เวอร์ชันใหม่ ๆ ไม่ได้ และไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของ Apple โดยจะให้โอกาสนักพัฒนาในการจัดการก่อน 30 วัน
กฎใหม่ของ Apple นี้เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 7 กันยายน ซึ่งตอนนี้ก็ล่วงเลยเวลา 30 วันมาแล้ว ทำให้เริ่มเห็นผลของการลบแอพบน App Store แล้ว โดยมีข้อมูลจากบริษัท Sensor Tower ซึ่งเป็นบริษัทด้านการวิเคราะห์เผยว่า มีแอพท่ีถูกลบไปแล้วกว่า 47,300 แอพในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของจำนวนแอพที่ App Store ลบออกต่อเดือนก่อนหน้านี้ถึง 3.4 เท่า
หลังจากแอปเปิลทดสอบ Search Ads เวอร์ชันเบต้าบน iOS 10 มาซักพักโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ล่าสุดเปิดตัวฟีเจอร์นี้อย่างเป็นทางการแล้ว เปิดโอกาสให้นักพัฒนาทั่วไปสามารถโฆษณาแอพของตัวเองบน App Store
การนี้แอปเปิลได้เพิ่มหน้า Search Ads บนเว็บ Apple.com เพื่อเชิญชวนนักพัฒนาทดลองใช้งาน โดยแอปเปิลระบุว่าขั้นตอนในการลงโฆษณามีเพียงไม่กี่ขั้นตอน พร้อมทั้งให้เครดิต 100 เหรียญฟรี สำหรับใช้งาน Search Ads ครั้งแรกด้วย
ที่มา - 9to5Mac
Pokemon Go สร้างปรากฏการณ์มากมายในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระแสบูมเริ่มสร่างซา ล่าสุด Pokemon Go ร่วงจากอันดับหนึ่งแอพทำเงินสูงสุด (Top Grossing) ใน iOS App Store ของสหรัฐอเมริกาแล้ว
แอพที่ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งแทนไม่ใช่ใครอื่น Clash Royale เกมฮิตจากค่าย Supercell ที่เคยครองแชมป์มาก่อน Pokemon Go นั่นเอง อย่างไรก็ตาม Pokemon Go สามารถยึดอันดับหนึ่ง Top Grossing ได้นานถึง 74 วัน ถือเป็นแอพที่ครองตำแหน่งนี้ได้นานที่สุดเป็นอันดับสาม (อันดับหนึ่งคือ Clash of Clans นาน 347 วัน อันดับสอง Candy Crush Saga นาน 109 วัน)
ฟีเจอร์อย่างหนึ่งของ iOS 10 คือปรับปรุงฟีเจอร์ของ iMessage ให้เชื่อมต่อกับแอพภายนอก และรองรับการส่งสติ๊กเกอร์ดังเช่นแอพแชทตัวอื่นๆ
ในโอกาสที่ iOS 10 จะเปิดให้ดาวน์โหลดตัวจริงวันนี้ (13 กันยายน ตามเวลาสหรัฐ) แอปเปิลก็เปิด iMessage App Store มาเตรียมรอไว้แล้ว ตัวอย่างสิ่งที่ดาวน์โหลดได้จาก iMessage App Store คือ สติ๊กเกอร์ Super Mario Run ที่ใช้ส่งแทนข้อความผ่าน iMessage ได้
ที่มา - VentureBeat
แอปเปิลได้ส่งอีเมลถึงนักพัฒนา ว่าบริษัทจะลบแอพพลิเคชันบน App Store ที่ถูกปล่อยทิ้งร้าง ไม่ได้รับการอัพเดต ใช้งานกับ iOS ใหม่ๆ ไม่ได้หรือไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของแอปเปิลออกจากสโตร์ โดยแอพที่ไม่ได้รับการอัพเดต นักพัฒนาจะได้รับการแจ้งเตือนก่อน และหากในอีก 30 วันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แอพจึงจะถูกลบ ขณะที่แอพที่ใช้งานไม่ได้ (เปิดแล้ว crash เลย) จะถูกลบทันที
นอกจากแอพเก่าแล้ว แอปเปิลยังเตรียมจัดการกับ Search Engine Optimization ของสโตร์ ด้วยการจำกัดไม่ให้นักพัฒนาตั้งชื่อแอพเกิน 50 ตัวอักษร เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีหลายแอพที่ถูกตั้งชื่อยาวเกินและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะมีผลในวันที่ 7 กันยายน ที่เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่
ยังคงสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องสำหรับเกม Pokemon Go ล่าสุด Apple บอกกับสำนักข่าว Techcrunch ว่า ยอดดาวน์โหลดเกมโปเกมอนในช่วงอาทิตย์แรกหลังเปิดตัวพุ่งสูงกว่าทุกแอพพลิเคชั่นบน App Store แม้จะยังเล่นได้ไม่กี่ประเทศตอนที่เปิดตัวใหม่ๆ (สหรัฐฯ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย)
แน่นอนว่ามีหลายแอพที่ประสบความสำเร็จมาก่อน แต่แอพเหล่านั้นก็ค่อยๆเสื่อมความนิยมลงไป Pokemon Go จึงเป็นปรากฏการณ์ใหม่น่าสนใจที่ทำให้ App Store คึกคักขึ้นอีกครั้ง
Apple ยังยกตัวอย่างแอพที่ประสบความสำเร็จเช่นกันคือ Prisma แอพแต่งรูป เปลี่ยนรูปถ่ายธรรมดาให้เป็นศิลปะโมเดิร์นอาร์ตที่กำลังว่อนอยู่ในโซเชียลขณะนี้ด้วย
ที่มา - Techcrunch
เมื่อวานมีข่าว Apple ปรับลดรายได้จากการบอกรับสมาชิกของแอพว่าในปีที่สองจะให้รายได้กับผู้สร้างคอนเทนต์เพิ่มขึ้นจาก 70% เป็น 85% ล่าสุดทางผู้บริหารของ Spotify ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ บอกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แต่ไม่เข้าถึงแก่นของปัญหา
Apple ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงบน App Store สำหรับนักพัฒนาเพิ่มเติม โดยมีสิ่งที่ปรับปรุงรอบนี้ 2 อย่างหลักๆ ได้แก่ระบบ Search Ads หรือระบบโฆษณาแอพในหน้าผลการค้นหา และระบบบอกรับสมาชิกใน App Store